ต้องยอมรับว่าแกร่งทั่วแผ่นจริงๆสำหรับพื้นที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าบริเวณแถวๆ 800 จุด หลังจากที่ SET Index พยายามขึ้นไปทดสอบในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเห็นแบบจะๆก็ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง 3 หนแล้ว แต่สุดท้ายพอนักลงทุนเริ่มที่จะมีความมั่นใจกลับมาบ้างจาก World Market ที่เริ่มมีฟื้นให้เห็นกันบ้างแล้ว แต่พอเด้งขึ้นมาชนพื้นที่ Red Zone ทีไรมีอันต้องถอยกลับไปเลียแผลใจกันใหม่ซะทุกที เล่นเอานักลงทุนที่ยังกล้าๆกลัวๆเป็นทุนเดิมอยู่แล้วชักเริ่มเดินออกจากตลาดไปยืนดูอยู่นอกสังเวียนเป็นการชั่วคราวทีละคนสองคน เห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายต่อวันที่เริ่มลดน้อยถ่อยลงจนตอนนี้ชักเริ่มเป็นห่วงเหล่าพลพรรค Marketing ที่รักขึ้นทุกที
ซึ่งก็มีแฟนๆหลายท่านสอบถามเข้ามาเป็นจำนวนมากว่าทำไมช่วงนี้อยู่ดีๆตลาดหุ้นไทยถึงเครื่องดับเอาซะดื้อๆแบบนี้ ก็ต้องถือโอกาสนี้ชี้แจ้งกับแฟนๆกันตรงนี้เลยว่าถ้าเราอธิบายโดยใช้ทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร์สำนัก Classical ที่เรียกว่า Theory of Demand เราก็จะพบว่าปัจจัยในการตัดสินใจเข้ามาลุยในตลาดสินทรัพย์ทางการเงิน ในที่นี้ก็คือหุ้นในตลาดหุ้นนั้นมีอยู่ 4 ปัจจัยไม่ว่าจะเป็น ความมั่งคั่งของนักลงทุน, ผลตอบแทนที่คาดหวัง และสภาพคล่อง แต่เราเชื่อว่าปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเราซึมเศร้ากว่าชาวบ้านเขาอย่างเห็นได้ชัดในช่วงนี้น้ำหนักไม่น่าจะอยู่ที่ 3 ปัจจัยที่ว่ามาข้างต้น แต่ที่เราเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในช่วงนี้คือความเสี่ยงของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้นั้นเองครับพี่น้อง
พูดง่ายในช่วงนี้ที่เงียบเหงาอยู่ในขณะนี้เนื่องจากความเสี่ยงหลายอย่างยังไม่ได้ลดลงไปเสียทีเดียวแม้ว่าการลงประชามติจะผ่านไปแล้ว ขณะที่ตอนนี้ก็ชักเริ่มมีข่าวลือของความขัดแย้งภายในออกมาช่วยกันฉุดตลาดอยู่เป็นระยะไม่ว่าจะเป็นข่าวปฏิวัติซ้อน หรือแม้กระทั้งการแต่งตั้ง ผบ.ทบ. นี้ยังไม่รวมการที่อำนาจเก่ากับอำนาจใหม่ยังแลกหมัดกันไม่หยุด แม้ว่าจะไม่มีผลทำให้พื้นฐานทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระทบต่อบรรยากาศการลงทุนแบบเต็มๆกล่องดวงใจ แต่เราก็ยังย้ำให้แฟนๆของเราใช้จังหวะในช่วงนี้ที่ชาวบ้านยังคงกล้าๆกลัวๆ ทำให้ตลาดยังไม่น่าจะไปไหนได้ไกลนัก โดยน่าจะออกมาในรูป Sideway Flat มากกว่าเข้าเก็บหุ้นไว้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกรณีที่ SET Index ยังยืนเหนือ Stop Loss Area ระยะสั้นบริเวณ 775-770 จุดได้ เนื่องจากเรามองว่าในระยะต่อไปยิ่งเข้าใกล้วันเลือกตั้งเข้าไปเท่าไรความชัดเจนทางการเมืองก็น่าจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ในส่วนของเศรษฐกิจเอง แม้ว่า BOT จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.25% เหมือนเดิมซึ่งวันนี้ก็ต้องถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่ในเดือน ต.ค. นี้จะมีการขึ้นเงินเดือนข้าราชการรวมทั้งภาครัฐจะมีการดำเนินการลงทุนโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ๆหลังจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2551 ผ่านเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็จะช่วยให้การบริโภคและการลงทุนภายในประเทศดีขึ้น