April 30, 2024   2:08:05 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เซียนหุ้นมอง TSTH โดดเด่นสุด
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 14/08/2007 @ 20:59:58
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เซียนหุ้นมอง TSTH โดดเด่นสุดในกลุ่มเหล็ก จากอานิสงส์สามเด้ง โดยปัจจัยแรกราคาเหล็กแท่งทรงยาวในตลาดโลกขาดตลาด ทำให้ TSTH ที่มีเตาหลอมเศษเหล็ก ได้เปรียบเหนือผู้ผลิตรายอื่น หนุนขยายมาร์เก็ตแชร์ในตลาดได้เพิ่มขึ้น แถมเวียดนามยังเตรียมลดภาษีนำเข้า ทำตลาดส่งออกสดใส ส่วนระยะยาวเชื่ออนาคตสดปิ๊งหลังจากโครงการโรงถลุงเหล็กสร้างเสร็จปลายปี 2008 ทำให้กำลังการผลิต Billet เพิ่มขึ้นกดต้นทุนต่ำลง ผลิตเหล็กเกรดคุณภาพสูงได้ ส่งผลมาร์จิ้นโตฉลุย และการเปิดแนวรบตลาดรถยนต์ในไทยของ TATA สตีลบริษัทแม่ในอินเดีย หนุนออเดอร์เหล็กเกรดดีเพิ่ม ส่งผลให้รายได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว

- ผู้ประกอบการเหล็กในประเทศโชว์งบไม่สวย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการในกลุ่มเหล็กและกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่เป็นเหล็กที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ พบว่าส่วนใหญ่มีผลงานออกมาไม่น่าประทับใจนัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษบกิจที่ชะลอตัวทำให้ปริมาณการใช้เหล็กและความต้องการใช้เหล็กในประเทศลดลง แถมราคาเหล็กเริ่มอ่อนตัวลงจากปีก่อนทำให้ตัวเลขรายได้และกำไรลดลงไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้จากตารางดังต่อไปนี้

บริษัท Q2/50 Q2/49 ครึ่งแรกปี 50 ครึ่งแรกปี 49 (หน่วย ลบ.)
SSI 372.45 1,549.86 483.73 1,595.89
NSM 125.64 (1,047.22) (170.21) (3,267.34)
TSTH (Q1/50) 426.27 233.18 - -
BSBM 62.01 107.32 109.63 177.93
AMC (68.81) 81.04 (38.38) 114.71
GSTEEL 229.56 529.37 631.15 831.342
TMT 49.85 121.42 97.91 185.59
STEEL 1.57 8.28 3.03 14.10
PERM 10.04 41.66 2.28 28.30
AMC (68.81) 81.04 (38.38) 114.71
RICH 15.35 36.50 20.06 75.14
TYM 30.82 52.28 55.18 63.35


- นักวิเคราะห์รับหุ้นเหล็กไม่น่าลงทุน แต่ในวิกฤติยังมีโอกาส
บทวิเคราะห์จาก บล.ไทยพาณิชย์กล่าวถึงหุ้นในกลุ่มเหล็กไว้ส่วนหนึ่งว่า แนะนำ Underweight: สำหรับหุ้นในกลุ่มนี้ โดยได้แนะนำนักลงทุนให้ลดการถือครองหุ้นเหล็กลง จากผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี2550 ที่ออกมาไม่ค่อยดีอย่างที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากราคาเหล็กในไทยเริ่มลดลงในเดือน พ.ค. ตามแนวโน้มตลาดโลก นอกจาก
นี้แล้วความต้องการเหล็กก็ลดลงในเดือน มิ.ย. เมื่อเทียบกับเดือน เม.ย. พ.ค. โดยก่อนหน้านี้ บล.ไทยพาณิชย์ได้เตือนให้ระวังการขายทำกำไรในหุ้นเหล็ก เนื่องจากเชื่อว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/50 จะออกมาไม่ดีดังกล่าว

ด้านนายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน เปิดเผยว่าหุ้นในกลุ่มเหล็กที่มีความโดดเด่นและน่าลงทุนมากที่สุดคือหุ้นของบริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี รวมทั้งยังมีออเดอร์ใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคงจะส่งผลดีต่อผลประกอบการในอนาคต ดังนั้นจึงแนะนำ ซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 4.10 บาท/หุ้น ส่วนบริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH แนะนำ ถือ ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 1.48 บาท /หุ้น

ส่วนเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟาร์อีสท์ เปิดเผยว่าหุ้นที่มีความโดดเด่นและน่าลงทุนมากที่สุดในกลุ่มเหล็กคือ TSTH เนื่องจากมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังมีโรงถลุงเหล็ก ซึ่งน่าจะเพิ่มโอกาสในส่งสินค้าให้มากขึ้นและทำให้ผลประกอบการเติบโตในทิศทางที่ดีด้วย ดังนั้นจึงแนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 1.87 บาท/หุ้น
" TSTH แนวโน้มของผลประกอบการในอนาคตน่าจะเติบโตดี เพราะมีโรงถลุงเหล็ก รวมทั้งยังมีการขยายการลงทุนที่ต่อเนื่องผลประกอบการในอนาคตน่าจะดีด้วย จึงน่าลงทุน" กล่าว

- บล.ซีมิโก้ มอง TSTH โดดเด่นสุด
บล.ซีมิโก้ ได้ออกบทวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ของธุรกิจเหล็กไว้ส่วนหนึ่งว่า รัฐบาลเวียดนามมีแนวโน้มจะลดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กเพื่อชะลออัตราเงินเฟ้อใน
ประเทศที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์เหล็กที่ปรับตัวสูงตามการเติบโตของอุปสงค์ในประเทศ โดยข้อมูลเบื้องต้นคาดว่าจะลดภาษีนำเข้าลง 2%-3% โดยภาษีนำเข้าบิลเล็ตจะลดจาก 5% เหลือ 2% , ภาษีนำเข้าเหล็กก่อสร้างทรงยาวลดจาก 10% เหลือ 8%, เหล็กเคลือบโลหะหรือชุบสีลดจาก 12% เหลือ 10% และเหล็กม้วนรีดเย็นลดจาก 7% เหลือ 5%

ความเห็นนักวิเคราะห์ นอกจาก TSTH จะมีส่วนแบ่งตลาดในประเทศเพิ่ม เพราะคู่แข่งในประเทศที่พึ่งการนำเข้าบิลเล็ตเป็นวัตถุดิบต้นทุนสูงอย่าง BSBM (ขาย/มูลค่าพื้นฐาน 1.18 บาท ? PER 8x) ไม่สามารถแข่งขันได้แล้ว หากเวียดนามลดภาษีนำเข้าเหล็กก่อสร้างทรงยาวลง จะทำให้ TSTH มีศักยภาพการส่งออกเข้าไปยังตลาดเวียดนาม (ตลาดเหล็กในเวียดนามมีแนวโน้มจะเติบโต10% ต่อปีจาก 6 ล้านตันในปี 49 เป็น 10 ล้านตันในปี 52) เพิ่มขึ้น ภายใต้เครือข่ายการตลาดของกลุ่มทาทาสตีลในการหาตลาดส่งออกให้บริษัท (กลุ่มทาทาสตีลมีโรงงานผลิตเหล็กก่อสร้างแบบรีดซ้ำในเวียดนาม) จึงคาดว่าข่าวนี้น่าจะเป็นผลบวกต่อ TSTH (ซื้อ/มูลค่าพื้นฐาน 2.24 บาท - DCF, WACC 9.71% และ terminal growth =3%)

- บล.โกลเบล็ก มอง TSTH แนวโน้มสดใสที่สุดในกลุ่ม
บล.โกลเบล็ก ได้ออกบทวิเคราะห์ ถึง บมจ.ทาทา สตีล (ประเทศไทย) หรือ TSTH ว่า ได้ปรับประมาณการและราคาเป้าหมายขึ้น แต่ยังยืนยันคำแนะนำ ซื้อ จากการเข้าพบผู้บริหารล่าสุด เรามีความมั่นใจมากขึ้นถึงแนวโน้มในอนาคตของบริษัท โดยคาดผลประกอบการจะขยายตัวโดดเด่นต่อเนื่องในช่วง 3 ปีหน้า จากแรงหนุนของกำลังซื้อของภาคเอกชนและรัฐบาลที่เราคาดจะกลับมาขยายตัวอีกครั้งหลังปัญหาการเมืองคลี่คลาย บวกกับโครงการโรงถลุง(Mini Blast Furnace)ที่คาดจะแล้วเสร็จปลายปี 2008 ซึ่งจะหนุนให้กำลังการผลิต Billet เพิ่มขึ้น 42% และลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ จากแนวโน้มดังกล่าว เราคาด EPS Growth เฉลี่ย 3 ปีหน้าที่20% ขณะที่แนวโน้มระยะยาว ยิ่งสดใส โดยผู้บริหารมีแนวคิดจะเพิ่มกำลังผลิตเป็น 4-5 ล้านตัน ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งเราเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะหลังการเข้ามาของทาทาสตีล ซึ่งช่วยหนุนด้านเทคโนโลยีการตลาดและที่สำคัญคือด้านวัตถุดิบ ดังนั้น จากแนวโน้มระยะยาวที่สดใส เราจึงปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 2.40 บาท และยังยืนยันแนะนำให้ ซื้อ
ประเด็นสำคัญในการลงทุน
ปรับประมาณการปี 50 ขึ้น :แม้เรายังคงมุมมองสำหรับภาพรวมปี 50 ตามเดิม โดยคาดความต้องการในประเทศจะยังไม่มีสัญญาณพลิกฟื้นทำให้ปริมาณความต้องการน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงปี 49 อย่างไรก็ตามเนื่องจากราคาเหล็กขั้นกลาง(Billet) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของคู่แข่งสำคัญในตลาดปรับเพิ่มขึ้นมาก ทำให้คู่แข่งหลักต้องชะลอการผลิตลง และส่งผลให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของ TSTH มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด ดังนั้น เราจึงปรับประมาณการสำหรีบปี 50 เพิ่มขึ้นจากเดิม โดยประเมินยอดขายรวมใหม่ได้ 21,15.92 ลบ.และกำไรสุทธิที่ 1,342 ลบ.เพิ่มจากประมาณการเดิม 12.7% และคิดเป็นการเติบโต 89.5%YoY

แนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตลอด3 ปีข้างหน้า : เราคาดความต้องการเหล็กเส้นจะเริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้งตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป หลังสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย และจะเห็นการเติบโตชัดเจนในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า หลังการลงทุนโดยเฉพาะในส่วนของภาครัฐเดินเครื่องอย่างเต็มที่ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลดีต่อ TSTH ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดในปัจจุบันนอกจากในแง่ปริมาณขาย เรามองว่าเมื่อความต้องการกลับคืนมา จะทำให้การปรับเพิ่มขึ้นของราคาขายทำได้ดีขึ้น และส่งผลดีต่ออัตรากำไรอีกด้วย นอกจากนั้น ปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างการลงทุนโครงการโรงถลุงเหล็กแบบ Mini Blast Furnace ซึ่งคาดจะแล้วเสร็จช่วงปลายปี 51 โดยโครงการดังกล่าวจะเพิ่มกำลังการผลิต Billet อีก 500,000 ตัน ซึ่งจุดสำคัญคือ Billet ที่ได้จะมีคุณภาพสูงเนื่องจากปรุงจากแร่เหล็ก รวมถึงคาดจะช่วยลดต้นทุนได้อย่างน้อย 1000 บาท/ตันอีกด้วย ซึ่งจากความต้องการที่คาดจะสูงขึ้น บวกกับแรงหนุนจาก โรงถลุงใหม่แล้ว เราคาดจะหนุนให้กำไรขยายตัวโดดเด่นในช่วง 3 ปีจากนี้ โดยเราประเมิน EPS Growth เฉลี่ยช่วง 3 ปีข้างหน้าได้ที่ 20% ต่อปี

มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว: ทางผู้บริหารมีแนวคิดที่จะเพิ่มกำลังผลิตเป็น 4-5 ล้านตัน ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า(จากปัจจุบัน1.7 ล้านตัน) โดยจะมุ่งขยายทั้งในส่วนของเหล็กทรงยาวและทรงแบน โดยเน้นที่ผลิตภัณฑ์เหล็กเกรดพิเศษ เพื่อกระจายฐานลูกค้าไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์มากขึ้น (ปัจจุบันกลุ่มลูกค้า
เกือบทั้งหมดอยู่ในกลุ่มก่อสร้าง) ซึ่งแม้แนวคิดดังกล่าว ปัจจุบัน ยังไม่ได้มีรายละเอียดหรือแผนการที่กำหนดแน่นอน อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าแนวทางการเพิ่มกำลังการผลิตดังกล่าว มี
ความเป็นไปได้สูงโดยเฉพาะหลังจากการเข้ามาของทางทาทาสตีล เนื่องจากจะได้ทางทาทาสตีลมาช่วยหนุนด้านเทคโนโลยี การตลาดและที่สำคัญคือทางด้านวัตถุดิบ ขณะที่ฐานะการเงินก็มีความพร้อมพร้อมในการลงทุน ดังนั้น เรามองว่าแนวโน้มในระยะยาวของ TSTH ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากจากปัจจุบัน

ยืนยันแนะนำ ซื้อ ปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 2.40 บาท : แม้แนวโน้มระยะสั้น ช่วง 2 ไตรมาสหน้า เราคาดจะชะลอตัวตามปัจจัยฤดูกาล แต่เนื่องจากเรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นสำหรับแนวโน้มระยะยาวของบริษัท โดยคาดจะโตต่อเนื่องตลอด 3 ปีข้างหน้า และยังมีศักยภาพการเติบโตอีกมากในอนาคต ดังนั้น เราจึงยืนยันแนะนำ ซื้อ โดยปรับมาใช้เป้าปี 51ซึงประเมินที่ PER 12 เท่า มากกว่ากลุ่ม เพื่อสะท้อนการเติบโตที่ดี ได้เป้าปี 51 ใหม่ที่ 2.40บาท(เดิม 1.55) แนะนำ ซื้อ

- บล.ยูไนเต็ด TSTH แนวโน้มระยะยาวยังเป็นผู้นำเหล็กเส้น
โรงถลุงเหล็กสนับสนุนพื้นฐานธุรกิจให้แข็งแกร่ง
ในระยะสั้นเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และจะเติบโตก้าวกระโดดจากโรงถลุงในปี 09
แนวโน้มระยะยาวยังเป็นผู้นำเหล็กเส้น และเติบโตจากการสนับสนุนของ TATA
แนะนำ ?ซื้อ? โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 07 ที่ 2.2 บาท
บล.ยูไนเต็ด ได้ออกบทวิเคราะห์ถึง TSTH ว่า
Investment Theme :
เหตุการณ์ : หลังจากที่เหล็กแท่งยาว(Billet)ขาดแคลนในตลาดโลก ทำให้ TSTH ผู้ที่มีเตาหลอมเศษเหล็ก ยังคงได้เปรียบผู้ผลิตเหล็กเส้นที่ไม่มี ส่งผลให้ TSTH มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 26% จากเดิม 24% และผลประกอบการใน 1Q08 เติบโต 81%YoY โดยคาดว่ายังคงดีต่อเนื่องถึงปลายปีนี้ แต่ภาวะตลาดเหล็กเส้นในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. อาจไม่ดีนัก เนื่องจากการก่อสร้างจะซบเซาในช่วงฤดูฝน แต่อย่างไรก็ตามซึ่งเรามองว่าในช่วง 2 ปีนี้ยังคงมีกำไรที่อยู่ในเกณฑ์ดี และจะเติบโตก้าวกระโดดในปี 09 เนื่องจากจะเริ่มผลิตเหล็กแท่งยาวได้ทั้งหมด 500,000 ตัน/ปี ซึ่งจะเป็นวัตถุดิบที่จะช่วยลดต้นทุนและสามารถผลิตเหล็กลวดที่มีคุณภาพสูงได้

ผลกระทบ : คาดว่ารายได้จากการขายในปี 03/08 เท่ากับ 23,064 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.3%YoY โดยมองว่าราคาเหล็กยังทรงตัวระดับสูงถึงปลายปีนี้ โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้น
ต้นจะดีขึ้น และคาดว่ากำไรเท่ากับ 1,393 ล้านบาท 96.7%YoY และมองว่าปี 03/09 ยังมีแนวโน้มกำไรเติบโต 14.2%

คำแนะนำ : ในปัจจุบัน TSTH ซื้อขายกัน ณ ระดับ P/E เท่ากับ 13.4x ของกำไรต่อหุ้นปี 2549 เราประเมินราคาเป้าหมายโดยอิงจากค่า P/Eที่ระดับ 12x เนื่องจากคาดว่ากำไร
เติบโต 100%YoY และในรอบบัญชีปี 09 คาดว่ายังคงรักษาปริมาณขายที่ 1.3 ล้านตันได้ จึงน่าจะซื้อขายที่ P/E มากกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง 10x ซึ่งจะได้ราคาเป้าหมาย 2.2 บาท/หุ้น ซึ่งมี Upside gain 20% เราจึงแนะนำ ?ซื้อ? ทั้งนี้มองแนวโน้มในปีนี้ดีมาจากการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด และในอีก 2 ปีข้างหน้ามาจากโรงถลุงเหล็ก และใน 3-5ปี มาจากการเติบโตพร้อมกับบริษัทแม่ (TATA STEEL ที่อินเดีย)
ความเสี่ยง : TSTH มีสัดส่วนส่งออกอยู่ที่ 10%-15% โดยตลาดส่งออกหลัก คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีแนวโน้มภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว อาจทำให้กดดันยอดส่งออกในอนาคต

- บล.ไทยพาณิชย์ มองธุรกิจรถยนต์หนุนกำไรในอนาคต
บทวิเคราะห์จาก บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวถึง TSTH ว่า ระบบการผลิตแบบเตาหลอมช่วยรักษาอัตรากำไรขั้นต้นระดับ 12% ราคาบิลเล็ตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของโรงรีดเช่น BSBM ลดลงเมื่อเทียบกับ TSTH และส่งผลให้ TSTH ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ TSTH ใช้กำลังผลิตในอัตราที่สูงและรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้
คาดผลประกอบการไตรมาสสองจะใกล้เคียงไตรมาส 1 (สิ้นสุด กันยายน) เนื่องจากปริมาณขายและอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง TSTH อาจได้ประโยชน์จากการลงทุนโรงงานประกอบรถยนต์ของกลุ่มทาทา เนื่องจากทาทาอาจจะใช้TSTH เป็นผู้ขายเหล็กรายหลักให้กับโรงงานผลิตรถยนต์ของกลุ่ม นอกจากนี้ บริษัท เอ็นทีเอส สตีล จำกัด ได้รับอนุมัติ BoI เพื่อทำโรงถลุงเหล็ก เราเชื่อว่าต้นทุนของ TSTH จะยิ่งลดลงเมื่อโรงถลุงเปิดดำเนินการปลายปี 2551 และทำให้ TSTH ก้าวหน้ากว่าคู่แข่งไปอีกก้าวหนึ่ง
ยังคงคำแนะนำ ?ซื้อ? ผลประกอบการไตรมาส 1 คิดเป็น 45% ของประมาณการทั้งปีของ SCBS และ73% ของตลาด เราเชื่อว่ามีโอกาสสูงที่ตลาดจะปรับประมาณการ TSTH เพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้

-บล.นครหลวงไทย มั่นใจ TSTH รับผลดีจากการเข้าลงทุนของ TATA STEEL


บล.นครหลวงไทย มอง TSTH เกี่ยจวกับกรณี ?ทาทาสตีล? บริษัทยักษ์ใหญ่จากอินเดีย ประกาศใช้ไทยเป็นฐานผลิต โดยการลงทุนเหล็กขั้นต้นที่เป็นสินแร่รายแรกของไทย ภายใต้การส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ และการผลิตรถปิกอัพร่วมกับธนบุรีประกอบรถยนต์ ว่า ความเห็นนักวิเคราะห์ : SCIBS มีมุมมองในเชิงบวกกับประเด็นข่าวดังกล่าว เนื่อง
จากพบว่าการเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นหลักของกลุ่ม TATA STEEL ตั้งแต่ในช่วงต้นปี 2549 ทำให้เกิดแรงผนึกทางธุรกิจและช่วยผลักดันให้ผลประกอบการของ TSTH ปรับตัวในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้โครงการการลงทุนในโครงการก่อสร้างโรงถลุงขนาดย่อมที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ และอยู่ระหว่างการขออนุมัติแหล่งเงินทุน คาดจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2551 จะทำให้บริษัทสามารถใช้กำลังการผลิตในการรีดเหล็กได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่ 1.7 ล้านตัน จากปัจจุบันที่บริษัทมีคอขวดอยู่ที่ 1.2 ล้านตัน นอกจากนี้ ความสามารถในการผลิตเหล็กต้นน้ำได้เอง จะช่วยลดความผันผวนของราคาวัตถุดิบ ประกอบกับประเด็นการเข้าลงทุนผลิตรถปิกอัพของกลุ่ม TATA โดยการร่วมทุนกับกลุ่มธนบุรีประกอบรถยนต์ จะทำให้เกิดอุปสงค์การใช้เหล็กเกรดพิเศษเพิ่ม ซึ่งบริษัทจะสามารถผลิตได้หลังจากที่เตาหลอมใหม่ติดตั้งเสร็จปลายปี 2551 ส่งผลให้บริษัทสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับสูง และทำให้ผลการดำเนินงานในอนาคตของ TSTH ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

คำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐาน : การมีเตาหลอมเป็นของตนเอง ทำให้บริษัทมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำและไม่ต้องเผชิญภาวะผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบ ช่วยให้บริษัทยังคงความเป็นผู้นำในตลาดในประเทศ นอกจากนี้ แรงผนึกทางธุรกิจจากการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TATA STEEL เริ่มส่งผลบวกเด่นชัดต่อปริมาณการขายที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลการดำเนินงานยังขยาตัวสม่ำเสมอ ดังนั้น SCIBS แนะนำ ?ซื้อ? โดยมีราคาเหมาะสม 2.10 บาท/หุ้น (ประเมินหุ้นโดยวิธี DCF, WACC ที่ 12% และใช้ Terminal Growth Rate 4.5%)


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com