Toon สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 973 | วันที่: 10/08/2007 @ 09:34:05 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต ภาวะตลาดเมื่อวาน มีความกังวลเดียวของนักลงทุนที่เชื่อว่า สร้างแรงกระเพื่อมอย่างหนัก นั่นก็คือ ร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่มีการแก้คำนิยามในชั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเป็นผลให้บริษัทกว่า 2 หมื่นแห่งจะมีปัญหาหากกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ แต่ไม่ว่าจะมีปัจจัยใดมากระทบก็ตาม คอลัมน์ ยังมีหุ้นตัวสวยมาแนะนำเช่นเคย
SAMARTเคาะปันผลวันนี้ปีหน้าธุรกิจรุ่ง
จะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทวันนี้(10ส.ค.) เพื่อพิจารณาผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 และงวดครึ่งปี รวมทั้งพิจารณาจ่ายปันผลของบริษัทในกลุ่มทั้งหมด นอกจากนี้ยังจะมีการหารือถึงนโยบายการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังด้วย สำหรับการจ่ายปันผลระหว่างกาลคาดว่าน่าจะจ่ายได้เท่ากับปีก่อนคือ 0.20 บาทต่อหุ้น โดยทั้งปีอยู่ที่ 0.40 บาทต่อหุ้นหรือคิดเป็นผลตอบแทนจากการจ่ายปันผล 5%
จากปัญหาสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่นิ่งขณะนี้ ทำให้มีผลกระทบต่อบริษัทในระดับหนึ่งซึ่งเชื่อว่าในปีหน้า จะกลับมาเป็นปีทองของบริษัทอีกครั้ง จากการทยอยเปิดประมูลทั้งในหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน อันจะส่งผลให้กำไรของ SAMART ในปี 2551 คาดว่าจะเติบโตแบบก้าวกระโดดประมาณ 44%
ภาพรวม มองไปในอนาคตธุรกิจมีลู่ทางสดใส ขณะที่ตัวหุ้นเกินมีอัพไซด์เกิน 50% ดังนั้นจึงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 9.50 บาท
TUFมีปัจจัยต้องกังวลแต่เป็นหุ้นน่าสนใจ
ราคาเป้าหมายให้ไว้ที่ 27.50 บาท ในภาวะตลาดขณะนี้ เหมาะที่จะ ซื้อเมื่ออ่อนตัว
แม้เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นและราคาวัตถุดิบทูน่าปรับตัวสูงขึ้น แต่คาดว่าบริษัทจะมีกำไรปกติเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยในไตรมาส 2 ที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นมา 10%บริษัทยังคงสามารถทำยอดขายในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้น 5% จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและการปรับราคาสำหรับทูน่าและกุ้ง อย่างไรก็ตาม คาดว่า กำไรขั้นต้นจะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาทูน่าปรับตัวต่อเนื่อง ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและภาวะการจับปลาที่ไม่ดีนัก
ทั้งนี้ การที่บริษัทได้รับคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายจะสามารถขยายตัวได้แม้ว่าค่าเงินบาทแข็ง โดยคาดกำไรปกติปีนี้จะเพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนหรือ 2 พันล้านบาทเศษขณะเดียวกันคาดว่าค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเหมือนปีที่แล้วประกอบกับดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะลดลงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง
ส่วนการจ่ายปันผลระหว่างกาล น่าจะอยู่ที่ 0.50 บาทต่อหุ้น จ่ายรวมทั้งปีที่ 1.15 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 4.8%
SSIปีนี้ไม่โดดเด่นเล่นได้สำหรับอนาคต
บริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2 เท่ากับ 372 ล้านบาท มีกำไรลดลง 76% จากปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุมาจากไม่มีกำไรจากรายการโอนกลับค่าด้อยค่าของสินค้าและวัตถุดิบจำนวน 1,154 ล้านบาทเหมือนปี 2549 ขณะที่ยอดขายก็ลดลงตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัว ประกอบกับวัตถุดิบประเภท SLAB ในตลาดโลกมีราคาแพงและหายากมากขึ้นอย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรปกติเพิ่มขึ้น โดยอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น 10% จากที่คาดไว้6% เนื่องจากราคา HRC ในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ SSI มีสินค้าคงเหลือในต้นทุนที่ต่ำ
แม้ในระยะสั้นและกลาง อาจได้รับผลกระทบจากความต้องการที่ชะลอตัวและราคาขายที่คาดว่ามีแนวโน้มลดลงในครึ่งปีหลัง แต่จากปริมาณการขายที่คาดว่าจะกลับมาเป็นปกติภายหลังจากสถานการณ์ต่างๆ ในประเทศดีขึ้น คาดว่าแนวโน้มการดำเนินงานของบริษัทในปีหน้ามีโอกาสฟื้นตัว
เมื่อพิจารณาจากราคาหุ้นที่ซื้อขาย ณ ปัจจุบัน ยังมีอัพไซด์ประมาณ 23% จึงเหมาะทยอยสะสม ราคาเป้าหมาย 1.24 บาท
KCEสินค้าไฮ-เอนด์ดันกำไรQ2ดีเกินคาด
คำแนะนำให้ ซื้อเก็งกำไร มีราคาเป้าหมายที่ 5.50 บาท วานนี้ขณะที่หุ้นตัวอื่นปิดตลาดอยู่ในโซนสีแดง แต่ KCE กลับปิดบวกที่ 3.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.24 บาท
กำไรในไตรมาส 2 ดีกว่าคาด โดยมีกำไรสุทธิ 61 ล้านบาท ทำกำไร3ไตรมาสต่อเนื่องกันแล้ว โดยมี free cashflow แข็งแรงอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน ลูกค้าหลักของบริษัทคือชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเป็นสัญชาติยุโรป
นอกจากนี้ ยังมีการขยายตัวในกลุ่มสินค้าสำหรับ high-end consumerelectronics ด้วยการผลิตสินค้า multi-layer มากขึ้น ขณะเดียวกันสามารถควบคุมอัตราของเสียในระดับที่น่าพอใจ รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายและการปรับโครงสร้างรายได้เพื่อรองรับค่าเงินบาทและราคาวัตถุดิบที่อาจผันผวน ทำให้บริษัทสามารถเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นจาก 18.1% ในไตรมาสแรกมาเป็น 18.9 %ในไตรมาสที่ผ่านมา
คาดว่ากำไรปีหน้าจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยเป็นการขยายตัวของธุรกิจในส่วน PCBสำหรับยานยนต์และสินค้า high-end ซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขายและอัตรากำไร
|