April 30, 2024   9:53:30 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > - - - - - - 5 อันดับหุ้นที่ปรับตัวร่วงสุด- - - - - - -
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 10/08/2007 @ 09:27:40
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

จากการสำรวจราคาหุ้น 7 เดือนแรก "ข่าวหุ้นธุรกิจ"พบว่ามีหุ้นที่ราคาปรับตัวลดลงส่วนใหญ่อยู่ในหุ้นเก็งกำไรและหุ้นขนาดเล็ก เนื่องจากนักลงทุนหันไปเล่นหุ้นขนาดใหญ่ หลังทิศทางตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนที่เข้าไปเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กและหุ้นเก็งกำไรก่อนหน้านี้ ขายหุ้นกลุ่มนี้ออกกมาเป็นจำนวนมาก

ที่น่าสังเกตคือราคาหุ้นที่ปรับตัวลงหนัก 50 อันดับแรก มีหุ้นขนาดใหญ่เข้ามาติดเพียง 2ตัว ซึ่งนั้นแสดงให้เห็นว่าในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา หุ้นขนาดใหญ่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างชัดเจน

สำหรับหุ้นที่ปรับตัวลงหนักอันดับ 1 คือ EVER หรือ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 56.17% มาที่ระดับ 2.06 บาท จากเดิม 4.70 บาท ราคาหุ้นที่ปรับลงหนักมีสาเหตุมาจากช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากมีกระแสข่าวการทิ้งหุ้นของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ และข่าวลือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลและเทข

นอกจากนั้นยังมีประเด็นการประกาศเพิ่มทุนบริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 300ล้านบาท ให้เป็น 600ล้านบาท แต่เนื่องจากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้ขึ้นเครื่องหมาย XR(ผู้ซื้อไม่มีสิทธิได้รับหุ้นเพิ่มทุน) ก่อนวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ถือว่าผิดธรรมเนียมปฏิบัติ และไม่เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นได้ซักถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนการเพิ่มทุนและข้อมูลต่ อย่างไรก็ตามแม้แผนเพิ่มทุนดังกล่าวจะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่หุ้นรายนี้ก็ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างร้อนแรงเหมือนเคย เนื่องจากหุ้นตัวนี้ไม่ได้มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีมาสนับสนุน ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหของหุ้นจะถูกจับตาจากกลต.และตลท.อย่างใกล้ชิดหากมีการปรับตัวแรง เนื่องจากหุ้นรายนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหุ้นเก็งกำไร

อันดับ 2 AMC หรือ บริษัท เอเซีย เมทัล จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง45.75ที่ระดับ 3.38 บาท จากระดับ 6.23 บาท หากมองราคาหุ้นรายนี้นับว่าเป็นขาลงในช่วง 7 เดือน อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเป็นผลมาจาก AMC ประกาศเพิ่มทุนในช่วงที่ผ่านมา โดยได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนพร้อมใบสำคัญแสดงสิทธิแก่ประชาชนทั่วไป(PO) จำนวน 50 ล้านหุ้น และเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนพร้อมใบสำคัญแสดงสิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเดิม(RO) จำนวน 50 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 3.30 บาท ปรากฏว่าหุ้นเพิ่มทุนที่ขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมขายไม่หมด

ขณะเดียวกันราคาหุ้นยิ่งปรับตัวลงหนัก หลังผู้ถือหุ้นใหญ่ "ชูศักดิ์ ยงวงศ์ไพบูลย์ ขายหุ้นออกมาอย่างหนัก 60 ล้านหุ้น ยิ่งทำให้นักลงทุนเกิดความกังวล และขายหุ้นออกมาอย่างหนัก เนื่องจากเกรงว่าการขายหุ้นในครั้งนี้จะเป็นการทิ้งบริษัท

สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 2 ผู้บริหารยอมรับว่า หากดูจากผลการดำเนินงานปกติอยู่ในเกณฑ์ที่พอใจ แต่ภาพรวมอาจลดลง เนื่องจากบริษัทได้ขายเครื่องจักรผลิตท่อเหล็กขนาดใหญ่ กำลังการผลิต 1.2 แสนตันต่อปีให้กับ JINDAL (INDIA) LIMITEDในราคา 147 ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนรวมของเครื่องจักรดังกล่าวอยู่ที่212 ล้านบาท ส่งผลให้บริ

อันดับ 3 PAE หรือ บริษัท พีเออี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 35.06% มาที่ระดับ 1.13 บาท จากเดิม 1.74 บาท เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับงานด้านวิศวกรรม และงานบริการอุตสาหกรรมทั่วไป และเป็นที่ทราบกันดีว่าหุ้นรายนี้เป็นหุ้นที่มีปัญหาทางด้านการเงิน จนต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ

จุดนี้เองที่ทำให้หุ้นรายนี้ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งผลประกอบการไตรมาสแรก 2550ที่ออกมามีผลการดำเนินงานขาดทุน ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าหุ้นรายนี้ไม่น่าจะมีอนาคตสดใส นักลงทุนที่ถือหุ้นรายนี้จีงทำได้แค่เพียงขายหุ้นรายนี้ออกมาเป็นหลัก

อันดับ 4 NNCL หรือ บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวลง 31.92%มาที่ระดับ 2.90 บาท จากเดิม 4.26 บาท หากมองราคาหุ้นรายนี้จะเห็นว่าเป็นขาลงขณะเดียวกันหุ้นรายนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นหุ้นเก็งกำไรที่ขาใหญ่ชอบไปไล่ราคากันอย่างหนาแน่น จนเป็นเหตุให้กลต.และตลท.ต้องออกมาจับตากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นและต้องสั่งห้ามเน็ต-

อย่างไรก็ตามหากมองผลประกอบที่ผ่านมาหุ้นรายนี้ก็ยังทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าการบันทึกขายที่ดินกว่า 120 ล้านบาท ช่วงไตรมาส 2 และรวมไปถึงครึ่งปีหลังเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจน้ำ จะช่วยให้หุ้นรายนี้ปรับตัวขึ้นได้ แต่ก็อย่าลืมว่าการขึ้นลงของหุ้นรายนี้ต้องระมัดระวังเนื่องจากกลต.และตลท.จับตาหุ้นรายนี้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนภาพรวมการขายที่ดินทั้งปี 2550 คาดว่าจะมียอดขายที่ปทุมธานีและโคราชแห่งละประมาณ 80 ไร่ ส่วนธุรกิจผลิตน้ำ คาดว่าเดินเครื่องผลิตเดือนส.ค.50 จะช่วยเรื่องประสิทธิภาพการทำกำไรยิ่งขึ้น

อันดับ 5 BT หรือ ธนาคาร ไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับลดลง 30.98% มาที่ระดับ 3.52 บาท จากเดิม 5.10 บาท เนื่องจากมาตรฐานทางบัญชีระหว่างประเทศฉบับที่ 39 (IAS39) ที่ทาง ธปท.ต้องการให้บรรดาธนาคารตั้งสำรองครบ 100%
เมื่อสิ้นงวดปี 2550 สำหรับหนี้ที่ค้างชำระเกิน 3 เดือนในทุกกรณี ซึ่งให้เริ่มทยอยตั้งสำรองได้ใน

เนื่องจากนักลงทุนเชื่อว่ามาตรฐานบัญชีใหม่ยังเป็นปัจจัยที่กดดันผลการดำเนินงานของแบงก์ต่อไป ถึงแม้หลายแห่งจะระบุว่าได้มีการตั้งสำรองไปแล้วครบตามจำนวน แต่จากสถานการณ์ตัวเลขเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 2ก็น่าจะเป็นตัวกดดันธนาคารเช่นเคย

อย่างไรก็ตามไตรมาส 2 สำหรับธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) หรือ BTถือเป็นแบงก์ที่พลิกจากขาดทุนสุทธิในช่วง 6 เดือนแรกปีก่อนมาได้ โดยมีกำไรสุทธิในปีนี้จำนวน 490.40 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุนสุทธิ 1,087.14 ล้านบาท เนื่องจากมีการขยายเงินให้สินเชื่อและเงินลงทุนทำให้ได้รับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1,506 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ26

ทั้งนี้หากสังเกตหุ้นที่ปรับตัวลดลงส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ราคาต่ำกว่า 10 บาท ซึ่งมีมากถึง 42 ตัว แน่นอนหุ้นจำนวนนี้เป็นทั้งหุ้นขนาดเล็กและหุ้นเก็งกำไร ดังนั้นการปรับตัวขึ้นมักจะหวือหวามากเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวลงแรงเช่นกัน ทางที่ดีก่อนที่จะเข้าลงทุนหุ้นรายใดก็ควรจะศึกษาพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวให้ถ้วนถี่ไว้ด้วย


:lol: [/color:12f25e0916">

 กลับขึ้นบน
nikei
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 692
#1 วันที่: 10/08/2007 @ 14:14:49 :
:? ฉิบ........หาไม่เจอ ดันมีหุ้นผมติดโผ

:? :? :? :? 8) 8) :? :? :? :?
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com