May 18, 2024   12:24:51 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > 5 อันดับหุ้นร่วงหนักสุดในเดือน กค.
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 03/08/2007 @ 09:15:14
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

แม้ช่วงเดือนกรกฎาคมจะเป็นเป็นช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรงที่สุดในรอบปี 11 ปีเนื่องจากมีแรงซื้อเข้ามามากในหุ้นเกือบทุกตัว โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่จากนักลงทุนชาติที่ซื้อสุทธิเข้ามามากถึง 3 หมื่นล้านบาท จนดัชนีในเดือนดังกล่าวปรับตัวขึ้นกว่า 82.97 จุดจากระดับ 776.79 จุด(30 มิ.ย.) มายืนที่ระดับ 859.76 จุด(31 ก.ค.)

แม้เดือนดังกล่าวจะมีหุ้นปรับตัวขึ้นมาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีหุ้นที่ไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้เช่นกัน และจากการสำรวจราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากสุด 50 อันดันแรก ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเก็งกำไรและไม่มีสภาพคล่องเกือบทั้งหมด แต่ถือเป็นเรื่องที่ดีว่ามีหุ้นกลุ่มบลูชิพติดเข้ามาเพียง 2 ตัว เท่านั้น

โดยหุ้นที่ราคาร่วงลงมากที่สุด ASCON หรือ บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน)ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 28.93% มาที่ 8.60 บาท จากเดิม 12.10 บาทเนื่องจากผู้หารได้ขายหุ้นออกมาจำนวน 6 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 3% ทำให้นักลงทุนที่ทราบข่าวและถือหุ้นรายนี้ขายหุ้นออกมาตาม

สาเหตุที่ขายหุ้นจำนวนดังกล่าวผู้บริหารออกมากล่าวว่าเป็นการขายให้กับกองทุนLehman Brothers Asia Holdings Limited เนื่องจากกลุ่มพาร์ตเนอร์สแสดงความจำนงค์ ต้องการเข้ามาลงทุนในบริษัทระยะยาวและมองว่าการที่กลุ่มดังกล่าวเข้ามาเสริมด้านการเงินและการหางานใหม่

ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรกอาจจะชะลอตัวบ้าง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และสถานการณ์ทางการเมือง โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต50-80%จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 1,299 ล้านบาท

โดยล่าสุดบริษัทเตรียมเซ็นสัญญาโครงการใหม่อีก 2-3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 600ล้านบาท จะเริ่มบันทึกรายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป นอกจากนี้อยู่ระหว่างรอสรุปประมูลงานก่อสร้างในกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลางอีก 1-2 โครงการ มูลค่าหลายพันล้านบาทคาดว่าไม่เกินไตรมาส 3 หรือต้นไตรมาส 4 จะเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือประมาณ 3,500 ล้านบาท

อันดับ 2 LIVE หรือ บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 15.60% มาที่ 4.22 บาทจากเดิมอยู่ที่ 5.00 บาท ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงเนื่องจากก่อนหน้านี้หุ้นโดนตลาดฯสั่งห้ามNet Settlement และ Margin Trading 30วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน ถึง 24 กรกฎาคม 2550

แต่เนื่องจากเนื่องจากในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา การซื้อขายหลักทรัพย์ LIVE ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณอันไม่ตรงต่อสภาพปกติของตลาด รวมทั้งมีการซื้อขายอย่างกระจุกตัวในหลักทรัพย์ดังกล่าวตลาดจึงต้องขยายการห้ามซื้อขายในลักษณะ NetSettlement และ Margin Trading หลักทรัพย์ LIVEชั่วคราวต่อไปอีก 30 วันทำการทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2550 ถึง 6 กันยายน 2550

อันดับ 3 THL หรือ บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ลดลง 14.53%มาที่ 2.00 บาท จากเดิมอยู่ที่ 2.34 บาท หุ้นรายนี้ถือเป็นหุ้นเก็งกำไร เพราะเพียงเข้ามาซื้อขายได้ไม่นานก็มีแววว่าจะได้ย้ายกลับไปอยู่ในหมวดฟื้นฟูกิจการอีกครั้งส่วนสาเหตุที่หุ้นรายนี้ปรับตัวลงหนัก สืบเนื่องมาจากกลต.ได้สั่งให้ก.ล.ต.สั่ง ทุ่งคาฮาเบอร์ แก้ไขงบการเงินปี 49 และไตรมาส 1 ปี 50 จึงทำให้นักลงทุนทยอยขายทำกำไรหุ้นรายนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนประเด็นล่าสุดจากกรณีที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่(กพร.) เรียกเก็บค่าปรับจำนวน 52.83 ล้านบาท แก่บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด(มหาชน) หรือ THLกรณีข้อกล่าวหาเรื่องการขนส่งแร่ทองคำโดยไม่ได้ขอใบอนุญาตในการขนส่งแร่ล๊อตที่สองเมื่อวันที่ 9 ก.ย.49 จำนวน 105.5153 กิโลกรัมขณะนี้ทางผู้บริหาร THL กำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลหลักฐาน และการแต่งตั้งทนายความ จากนั้นจะยื่นต่อนายโฆสิตปั้นเปี่ยมรัษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อทำการไกล่เกลี่ยต่อไป

อันดับ 4 MCOT หรือ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 13.04% มาที่ 30.00 บาท จากเดิมอยู่ที่ 34.50 บาท สาเหตุที่ร่วงลงหนักเนื่องจากหุ้น ปรับลดลงสวนกระแสตลาด น่าจะเกิดจากนักลงทุนเทขายหลังจาก พรบ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ซึ่งเนื้อหาอาจมีผลต่อการดำเนินงานของ MCOT

ขณะที่ก่อนหน้านี้ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังมีเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย ราคาหุ้น MCOT ก็ปรับขึ้นตามทิศทางตลาดด้วย ครั้งนี้จึงอาจะเป็นการขายทำกำไร อย่างไรก็ตามคาดว่าผลประกอบการ MCOT จะพลิกฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และฟื้นเต็มที่ในปี 2551 เนื่องจากความตึงเครียดทางการเมืองลดลงการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดภายในสิ้นปี 2550 การเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐซึ่งเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นตั้งแต่เดือนมิ.ย.2550

นอกจากนี้การปรับผังรายการใหม่ภายใต้แนวคิด "โมเดิร์น ไนน์ พลัส"(Modernine Plus (+) รวมถึงความเป็นไปได้ของการปรับเพิ่มอัตราค่าโฆษณา และเม็ดเงินโฆษณาที่จะย้ายมาจากช่องทีไอทีวี (TITV) รายได้จากงานโครงการพิเศษซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการภาครัฐคิดเป็นสัดส่วน 15% ของรายได้รวมในปี 2549

อันดับ 5 MATCH หรือ บริษัท แม็ทชิ่ง สตูดิโอ จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 12.97 % มาที่ 1.61 บาท จากเดิมอยู่ที่ 1.85 บาท หุ้นรายนี้นับว่าไม่มีสภาพคล่อง เพราะจำนวนหุ้นมีเพียง 207.82 ล้านหุ้นทำให้การขึ้นลงของหุ้นแต่ละครั้งจะไม่เป็นไปตามภาวะตลาด นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาหุ้นรายนี้ไม่มีปัจจัยเข้ามาสนับสนุน ทำให้หุ้นไม่เป็นที่น่าสนใจ

ขณะเดียวกันหากมองในเรื่องของผลประกอบการ หุ้นรายนี้ถือได้ว่ามีปัญหาทางด้านการเงินมาโดยตลอด เนื่องจากที่ผ่านๆมาบริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนต่อเนื่อง จึงทำให้นักลงทุนที่ถือหุ้นรายนี้อยู่หาจังหวะขายออกมาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้จะเห็นได้ชัดว่าหุ้นที่ปรับตัวลงแรงส่วนใหญ่เป็นต่ำกว่า 10 บาท ซึ่งง่ายต่อการทำราคา ส่งผลให้ราคาหุ้นไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ดังนั้นหากนักลงทุนจะเข้าไปลงทุนก็คงต้องคิดและตรึกตรองให้ดีก่อนว่าคุ้มค่าแก่การลงทุนหรือไม่ เพราะท่านอย่าลืมว่าหุ้นกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูง


:lol: [/color:66fa2ea64b">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com