May 5, 2024   1:08:43 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หลักทรัพย์! Never Dies
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 11/07/2007 @ 19:44:48
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

เซียนหุ้นฟันธงหากปีหน้าได้เห็นดัชนีฯทะลุ 1,000 จุด หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์เข้าข่ายไม่มีวันตายแน่นอน เหตุเป็นหุ้นที่ผกผันตามการขึ้นลงของดัชนีฯและมูลค่าการซื้อขายในตลาดฯ ระบุ 8 วันทำการที่ผ่านมา ดัชนีฯพุ่ง 84.22 จุด หรือ 10.84% ในขณะที่กลุ่มไฟแนนซ์ปรับเพิ่มขึ้นถึง 141.72 จุด หรือ 13.98% นับเป็นหุ้นปรับขึ้นเร็วกว่าตลาดฯ ถือเป็นบทพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าอนาคตสดปิ๊งชัวร์ แนะเลือกเก็บเป็นรายตัว โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่มาร์เก็ตแชร์สูง ในกลุ่มเพื่อเก็งกำไร ช่วงดัชนีฯพุ่ง

การปรับเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 8 วันทำการที่ผ่านมา (30 มิถุนายน - 11 ก.ค.50) ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นเฉลี่ยเกือบวันละ 4 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่เคยเคเลื่อนไหวอยู่ที่ระดับหมื่นล้านบาทเศษเท่านั้น ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์กลับมาเคลื่อนไหวอย่างโดดเด่นอีกครั้ง เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า การเพิ่มขึ้นของมูลค่าการซื้อขายต่อวันในตลาดหลักทรัพย์ไทย จะส่งผลโดยตรงต่อบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งมีรายได้หลักจากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดฯ
โดยพบว่าในช่วงที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรงในช่วงดังกล่าว ได้มีผลให้ดัชนีฯในกลุ่มไฟแนนซ์ปรับเพิ่มขึ้นไปในลักษณะและทิศทางเดียวกัน โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้เริ่มปรับเพิ่มขึ้นชัดเจนในวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา จากระดับ 776.79 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ตลาดฯปิดการซื้อขายในวันที่ 29 มิถุนายน มาสู่ระดับ 792.71 จุด หรือเพิ่มขึ้น 15.92 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 24,188.10 ลบ.ในวันที่ 30 มิถุนายน และหลังจากนั้น ดัชนีฯได้ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนล่าสุดวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา ดัชนีฯได้ปรับขึ้นมาทำระดับสูงสุดของวันที่ 861.01 จุด ส่งผลให้ดัชนีฯปรับเพิ่มขึ้นถึง 84.22 จุดหรือ 10.84% ใน 8 วันทำการ

ขณะที่ดัชนีฯของกลุ่มไฟแนนซ์และหลักทรัพย์ ได้เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นโดดเด่นในวันเดียวกัน โดยในวันที่ 30 มิถุนายน ดัชนีฯกลุ่มไฟแนนซ์และหลักทรัพย์ ปิดที่ระดับ 1,036.17 จุด เพิ่มขึ้น 22.44 จุด จากดัชนีฯ 1,013.73 จุด ซึ่งเป็นระดับดัชนีฯที่ปิดการซื้อขายในวันที่ 29 มิถุนายน ที่ผ่านมา และหลังจากนั้นดัชนีฯได้ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และล่าสุดในวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา ดัชนีกลุ่มไฟแนนซ์และหลักทรัพย์ขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 1,155.45 จุด เพิ่มขึ้น 141.72 จุด(จากวันที่ 30 มิถุนายน) หรือเพิ่มขึ้น 13.98%

จะเห็นได้ว่าในช่วง 8 วันทำการที่ผ่านมา ดัชนีกลุ่มไฟแนนซ์และหลักทรัพย์จะปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรงและสูงกว่าการปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าหากในอนาคตดัชนีฯปรับเพิ่มขึ้นทะลุ 1,000 จุด ตามที่คาดการณ์กันไว้ว่าจะเห็นได้ในต้นปีหน้า หุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าดัชนีฯได้เช่นเดียวกัน ซึ่งนักวิเคราะห์หลายรายมองไปทิศทางเดียวกัน

- KEST มอง SET INDEX สิ้นปีแตะ 850-900 จุด ส่วนปีหน้าคาดได้เห็น 1000 จุด
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KEST) เปิดเผยว่า ในปีนี้ประเมิน SET INDEX ไว้ที่ 850-900 จุด ส่วนปี 2551 ประเมิน SET INDEX ไว้ที่ 1,000 จุด โดยเฉพาะหากปัจจัยทางการเมืองคลี่คลายหรือมีการเลือกภายในปลายปีนี้ก็คาดว่าจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา แต่นักลงทุนจะต้องไม่อ่อนไหวตามปัจจัยที่เข้ามากระทบตลาดหุ้น

อย่างไรก็ดี หลังจากที่มีเม็ดเงินจากนักลงทุนไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ทั้งนี้ประเมินว่าน่าจะเป็นเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศจริง ซึ่งไม่น่าจะเป็นของกลุ่มนักการเมืองเพราะถ้าเป็นนักการเมืองคงจะไม่มีเม็ดเงินเข้ามาซื้อหุ้นได้มากขนาดนี้ ส่วนสาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติเลือกเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะ P/E ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นไทยมี P/E อยู่ที่ 11-12 เท่าในขณะที่ P/E ของต่างประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ 16-18 เท่า

- SYRUS ชี้ หุ้นหลักทรัพย์เด้งแรง หลังภาวะตลาดฯโดยรวมแจ่ม
นางสาวสิริณัฎฐา เตชะศิริวรรณ ผุ้อำนวยการอาวุโศ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส เปิดเผยว่า จากภาวะตลาดฯโดยรวมที่ดี รวมถึงมูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ช่วยกระตุ้นให้หุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบหมด ซึ่งจากการที่ปริมาณการซื้อขายที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นเชื่อว่า น่าจะทำให้ผลประกอบการของแต่ละบริษัทฯในช่วงครึ่งปีหลังนั้นดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรกอย่างแน่นอน

- ทรีนีตี้ชี้ถึงเวลาลุยหุ้นหลักทรัพย์ คาดวอลุ่มเฉลี่ยครึ่งหลังปีนี้แตะ 1.89 หมื่นลบ./วัน
บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นชัดเจนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยมูลค่าการซื้อขายรายเฉลี่ยเดือน มิ.ย. 2550 อยู่ที่ 19,567.29 ล้านบาทซึ่งสูงกว่าเดือน พ.ค. ซึ่ง อยู่ที่ 15,260.39 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 28.22 % MoM

ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปี 2550 ถึงปัจจุบัน มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันยังอยู่ที่ 13,775.40 ล้านบาทต่อวัน เมื่อเทียบกับ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปี 2549 ซึ่งอยู่ที่ 16,214.19 ล้านบาท หากสมมติ Base Case คือให้ทั้งปีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปี 2550 เท่ากับปี 2549 แสดงว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ต้องมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอีกเพียง 18,653 ล้านบาท จะสามารถมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเท่ากับปี 2549 ได้ รวมทั้งในส่วน SET Finance Index ปัจจุบันอยู่ที่ 1,064.09 เมื่อเทียบกับดัชนี SET Finance Index โดยเฉลี่ยของปี 2549 ซึ่งอยู่ที่ 1,069.68 และเมื่อเทียบกับ SET Finance Index ที่สูงที่สุดในปี 2549 ที่ 1,270.52 จะพบว่า SET Finance Index ณ ปัจจุบันต่ำกว่าเพียง 0.52% และ 16.25 % ตามลำดับ

เพราะฉะนั้นจึงไม่ยากนักที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2550 จะสามารถผ่าน 18,925 ล้านบาทไปได้ เนื่องจากสภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะกลับขึ้นมาคึกคักอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง หากไม่มีปัญหาทางการเมืองที่รุนแรง ซึ่งจะเห็นได้จากที่ในปัจจุบัน SET Finance Index ในปัจจุบันต่ำกว่า SET Finance Index โดยเฉลี่ยของปี 2549 เพียงเล็กน้อย ประกอบกับในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ที่มีข่าวเลื่อนการเลือกตั้งที่เร็วขึ้น รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้นักลงทุนเริ่มมั่นใจ มากขึ้น ต่างชาติยังคงมีการซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อทำให้ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งช่วยเอื้อประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ให้มีความน่าสนใจมากขึ้นตาม ภาวะตลาดขาขึ้น แต่ปัจจัยเสี่ยงยังเป็นเรื่องของความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่ส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนไทย

หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ยังมีความน่าสนใจในช่วงที่นักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น แต่เนื่องจากหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์มีความเสี่ยงตามภาวะตลาดยังคงมีความผันผวนสูง ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเมืองเป็นหลัก ดังนั้นคำแนะนำในการลงทุนของเรายังคงให้ซื้อขายอย่างระมัดระวัง โดยลงทุนในหุ้นหลักทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ

- SYRUS ชี้ BLS-KGI เด่นสุดในหุ้นหลักทรัพย์
นางสาวสิริณัฎฐา เตชะศิริวรรณ ผุ้อำนวยการอาวุโศ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส เปิดเผยว่า จากภาวะตลาดฯโดยรวมที่ดี รวมถึงมูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ช่วยกระตุ้นให้หุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบหมด ซึ่งจากการที่ปริมาณการซื้อขายที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นเชื่อว่า น่าจะทำให้ผลประกอบการของแต่ละบริษัทฯในช่วงครึ่งปีหลังนั้นดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรกอย่างแน่นอน

โดยหุ้นที่มีความน่าสนใจในกลุ่มหลักทรัพย์นั้น แนะนำ BLS และ KGI เนื่องจากราคาหุ้นทั้ง 2 ตัวนั้น ยังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน แม้ว่า ราคาหุ้น BLS และ KGI จะสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานที่ให้ไว้ที่ 19 บาท และ 2.40 บาท ตามลำดับ แล้วก็ตามแต่เนื่องจากราคาพื้นฐานดังกล่าวนั้น BLS เป็นการคำนวณจากข้อมูลที่มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 3.5% แต่เมื่อบริษัทฯได้เซ็นสัญญากับทาง Morgan Stanley Asia ก็ช่วยให้มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นมาสูงกว่า 4% ซึ่งหาก BLS สามารถรักษาระดับส่วนแบ่งตลาดดังกล่าวไว้ได้ น่าจะช่วยให้ราคาพื้นฐานปรับเพิ่มมาอยู่ที่ 22-24 บาท ได้

ส่วน KGI เป็นกรณีเดียวกัน คือ ราคาพื้นฐานที่ให้ไว้นั้นอยู่บนพื้นฐานที่ บริษัทฯมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 4% แต่ขณะนี้ส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 4.1-4.2% ซึ่งก็จะช่วยให้ราคาปรับเพิ่มได้อีก 0.40 บาท ได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้ซื้อได้ ทั้ง 2 ตัว

-บล.กสิกร ให้หุ้นเด็ดในกลุ่มหลักทรัพย์ คือ KEST- PHATRA
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทยเปิดเผยว่าหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ซึ่งมีสัญญาณเทคนิคที่ยังอยู่ในขาขึ้น และแนะนำซื้อคือหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KEST)โดยหากสามารถทะลุแนวต้านที่28.25 บาทได้ราคาหุ้นก็มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 32 บาท โดยมีแนวรับอยู่ที่ 26 บาท
นอกจากนี้ยังมีหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด(มหาชน) (PHATRA) ที่สัญญาณเทคนิคยังน่าสนใจ โดยหากสามารถทะลุแนวต้านที่ 51 บาทได้ราคาหุ้นก็มีโอกาสขึ้นไปต่อถึง 54 บาท ส่วนแนวรับอยู่ที่ 45.50บาท

- บล.ทรีนีตี้ ให้ BLS เด่นสุด
บทวิเคราะห์จาก บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า แนะนำ BLS เป็น Top Pick เนื่องจาก BLS น่าจะได้ประโยชน์มากกว่าจากการทำ Exclusive Partner กับ MSAL (Morgan Stanley AsiaLimited) ในด้านมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีการลงนามในสัญญาบริการแนะนำลูกค้า (Introduce Agent) กับ BBL ซึ่งอาจจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้แก่ BLS ได้อีก และในช่วงที่นักลงทุนในประเทศเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นน่าจะส่งผลดีต่อ BLS ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้นในเดือนมิ.ย. ที่3.9% ซึ่งสูงกว่าในเดือน พ.ค. ที่ 2.84 % ซึ่งที่ราคาปัจจุบันBLSมีการซื้อขายที่ P/BV ที่ประมาณ 2 เท่าซึ่งราคายังถูกมาก เมื่อเทียบกับหุ้นบริษัทหลักทรัพย์อื่นๆเช่น KEST และ PHATRA ที่มีการซื้อขายอยู่ที่ P/BV ที่ประมาณ 4 และ 3 เท่า ตามลำดับ

- เซียนหุ้นให้ BLS-KGI-PHATRA-GBX-ASP-FNS สุดเด่น
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทยกล่าวว่าดัชนีฯ ภายในสิ้นปีนี้น่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึง 936 จุด จากทิศทางทางการเมืองที่น่าจะมีการเลือกตั้งในสิ้นปีนี้ได้ ซึ่งจากการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีฯและมูลค่าการซื้อขาย จึงน่าจะส่งผลดีต่อหุ้นในหลุ่มหลักทรัพย์ ซึ่งมีรายได้หลักจากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยหุ้นที่น่าสนใจเก็งกำไรได้แก่ บล.บัวหลวง (BLS) บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) (KGI) และบล.ภัทร (PHATRA)

ด้านนายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่าภายในสิ้นปีนี้ดัชนีฯ น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสูงกว่า 900 จุด โดยช่วงนี้มีมูลค่าการซื้อขายเข้ามามาก ซึ่งส่งผลดีให้หุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสูง ซึ่งขณะนี้แนะเล่นระยะสั้น โดยหุ้นที่น่าสนใจแนะนำ บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ (GBX)

ส่วนนายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในสิ้นปีนี้น่าจะขึ้นสูงสุดถึง 940 จุดได้ ซึ่งปีหน้ามองว่าน่าจะปรับเพิ่มขึ้นถึง 1,050 จุด โดยมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นมากนั้นมองว่าส่งผลดีให้หุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น โดยหุ้นที่มีเบต้าสูงๆ อย่างกลุ่มหลักทรัพย์นั้นทำให้ระยะหลังจึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก จากตัวรายได้ที่มีการขยับเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกับมูลค่าการซื้อขายในตลาดฯ โดยแนะนำให้ซื้อหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์เพื่อเก็งกำไร ซึ่งตัวที่น่าสนใจได้แก่ บล.เอเซียพลัส(ASP) และบล.ฟินันซ่า(FNS)

- ระบุหุ้นหลักทรัพย์เหมาะเล่นสั้น ส่งซิกเตรียมปรับเป้าราคาใหม่
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.กรุงศรีอยุธยา (มหาชน) กล่าวว่าตามที่หลายสำนักคาดการร์ว่าดัชนีปีหน้าจะทะลุ 1,000 จุดเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อหุ้นทุกกลุ่มและในส่วนของกลุ่มหลักทรัพย์ก็จะรับผลดีในแง่ของรายได้จากการเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์เพราะถ้าดัชนีอยู่ที่1,000 จุด หมายความว่ามูลค่าการซื้อขายต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วการเล่นหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์นักลงทุนจะซื้อขายเก็งกำไรมากกว่าการลงทุนระยะยาวโดยพิจารณาจากมูลค่าการซื้อขายในแต่ละช่วง เพราะจะมากน้อยแตกต่างกันไป
ทั้งนี้ หุ้นหลักทรัพย์ที่น่าสนใจ ได้แก่ หุ้นขนาดใหญ่อย่าง บล.เอเซียพลัส(ASP) บล.กิมเอ็ง (KEST) และบล.บัวหลวง(BLS) เพราะมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด ดังนั้นน่าจะรับผลดีจากการที่มูลค่าการซื้อขายปรับเพิ่มขึ้น แนะนำ"ซื้อเก็งกำไร"และขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับราคาเป้าหมายเพราะเดิมที่ทำไว้คาดการณ์มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 16,000 ล้านบาทเท่านั้น

" หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์นักลงทุนไม่มีใครซื้อลงทุนยาว แต่จะเทรดดิ้งมากกว่าโดยเล่นเป็นรอบตามมูลค่าการซื้อขาย เพราะกลุ่มนี้ปกติเล่นยาวไม่ได้และถ้าจะเทรดดิ้งก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดด้วย"นักวิเคราะห์ กล่าว

ด้านนายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่าหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์นักลงทุนจะเล่นเก็งกำไรมากกว่า และแน่นอนว่าหากปีหน้าดัชนีตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 1,000 จุดนั่นหมายความว่าราคาหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์น่าจะปรับเพิ่มขึ้นไปได้อีกส่วนตัวไหนจะปรับเพิ่มขึ้นไปอยูที่ระดับเท่าใดขึ้นอยู่กับมูลค่าการซื้อขายของดัชนีในแต่ละช่วง ซึ่งนักวิเคราะห์จะประเมินมูลค่าที่เหมาะสมในขณะนั้นๆ แต่จะคำนวณรวมกับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่นรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินส่วนแบ่งการตลาดทางด้านบริการซื้อขายหุ้นทางอินเตอร์เน็ตและตลาดอนุพันธ์

" ตัวไหนโดดเด่นและควรลงทุนอย่างไรจะมีการประเมินอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ผลประกอบการไตรมาส 2 ประกาศออกมาครบทุกบริษัท แต่ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่านักวิเคราะห์จะมีการปรับราคาเป้าหมายไปตามมูลค่าการซื้อขายในแต่ละช่วงดังนั้น ราคาจะแตกต่างกันไปในแต่ละขณะ " นายชัย กล่าว

ขณะที่นักวิเคราะห์จาก บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย)กล่าวว่าหุ้นหลักทรัพย์บางตัวราคาปรับเพิ่มขึ้นไปรับข่าวดัชนีทะลุ 1,000 จุดแล้ว
มีบางตัวที่ยังไม่รับข่าวดังกล่าว จึงต้องเลือกซื้อเป็นรายตัว





 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com