May 4, 2024   8:08:29 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 11/07/2007 @ 09:59:10
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.ฟาร์อีสท์แนะนำถือCPFราคาเป้าหมาย 4.52 บาทผลการดำเนินงานของ CPF ที่ออกมา เป็นไปตามที่เราคาดไว้ โดยสาเหตุที่ CPF ต้องพบกันผลประกอบการที่ขาดทุนใน 1Q50 เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับลดลงอย่างมาก จากการที่ราคาขายสินค้าหลักของ CPF ได้แก่ ไก่ หมู และไข่ไก่ ต่างปรับตัวลดลงมากจากการที่ผู้บริโภคมีการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลงเนื่องจากความไม่มั่นใจในสภาพเศรษฐกิจของประเทศรวมถึงปัญหาเรื่องสินค้าล้นตลาดที่ยังคอยกดดันราคาขายสินค้าอยู่ อีกทั้งต้นทุนในการเลี้ยงกลับปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาวัตถุดิบที่ใช้เลี้ยงซึ่งได้แก่ข้าวโพดได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจกุ้งอยู่ในช่วง Low Season จึงไม่สามารถช่วยให้ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นได้ เราคาดว่าผลประกอบการของ CPF จะเริ่มดีขึ้นใน 2Q50 เป็นต้นไป หลังจากที่ราคาเนื้อไก่ และเนื้อหมู ได้เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว (โดยปัจจุบันราคาขายเนื้อไก่อยู่ที่ประมาณ 31-32 บาท/กก. ขณะที่ราคาขายเนื้อหมูอยู่ที่ 37-38 บาท/กก.) อีกทั้งผลประกอบการของธุรกิจในต่างประเทศโดยเฉพาะที่ตุรกี ที่เริ่มมีผลประกอบพลิกกลับมามีกำไรแล้วตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ผ่านมา โดยหากเทียบรายธุรกิจแล้วรายได้ในช่วง 1Q50 ของ CPF มีการขยายตัวอย่างมากโดยเฉพาะธุรกิจในต่างประเทศทั้งธุรกิจสัตว์บกและสัตว์น้ำ โดยรายได้มีการขยายตัวกว่า 58% และ 100% ตามลำดับ ขณะที่ธุรกิจในประเทศที่ขายตัวดีได้แก่ธุรกิจสัตว์น้ำโดยขยายตัวกว่า 11% ทำให้เราคาดว่า CPF จะพลิกกลับมามีกำไรใน 2Q50เป็นต้นไปได้ และเราประมาณการผลประกอบการทั้งปีของ CPF ในปี 50 โดยมีรายได้ 133,249 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3,391 ล้านบาท ทั้งนี้เรามองว่าราคาหุ้นของ CPF ในปัจจุบันได้รับข่าวเรื่องผลประกอบการใน 1Q50 ที่จะออกมาไม่ดีไปมากแล้ว รวมถึงหากราคาสินค้ามีการปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีผลประกอบการของ CPF จะพลิกกลับมามีกำไรอย่างมากได้

บล.บัวหลวงแนะนำถือ SCIBราคาเป้าหมาย 25.50 บาทหลังจากปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชีIAS39 ในไตรมาส 1/2550 แล้ว SCIB วางแผนที่จะตั้งสำรองหนี้สูญตาม เกณฑ์ปริมาณ (quantitative measures) ของ ธปท. เราคาดว่าSCIB จะตั้งสำรองหนี้สูญไว้ที่ 1 พันล้านในไตรมาส 2/2550 และ ตั้งอีก 400ล้าน ในครึ่งหลังของปี 2550 เพื่อให้ปริมาณการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มเป็น 100% ณ สิ้นปี 2550 จาก 85% ในไตรมาส 1/2550 (รวมตั้งสำรองหนี้สูญทั้งหมด 3พันล้านบาทลดลงจากประมาณการเดิมของเราที่ 3.5 พันล้านบาท) ประมานการส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของ SCIB ลดลง 13bps เป็น 2.63% ในไตรมาส 2/2550เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงในอัตราที่น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ปัจจุบันธนาคารมีโครงสร้างยอดรวมเงินฝากประจำทุกประเภทเท่ากับ 70% ของเงินฝากทั้งหมด และอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเพิ่มขึ้นเป็น 60% ในไตรมาส 2/2550 จาก 57% ในไตรมาส 1/2550ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโดยเฉพาะส่วนรายจ่ายด้านบุคลากรและงบการลงทุนของธนาคารที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ของธนาคารประมานการที่ 61%ในไตรมาส 2/2550 จากเดิม 64% ในไตรมาส 1/2550 (จากรายจ่ายด้านบุคลากรลดลงและการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยของรายได้จากค่าธรรมเนียม) SCIB คาดว่าจะสามารถได้รับผลดีจากการปรับตัวดีขึ้นของสภาวะเศรษฐกิจในครึ่ง 2/2550 ซึ่งจะทำให้สินเชื่อเติบโตขึ้น และรายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น

บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อลงทุนราคาเป้าหมาย 130.00 บาทเราปรับราคาที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานชอง EGCO ตามวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF)เพิ่มขึ้นจาก 108 บาท เป็น 130 บาท เพื่อสะท้อนผลกำไรปกติในปีนี้ที่มีการเติบโต 19%yoy จาก 5,270 ล้านบาท หรือ 10.01 บาท/หุ้น เป็น 6,297 ล้านบาท หรือ 11.96บาท/หุ้นและอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้อัตราส่วนคิดลด (WACC) ในการประเมินราคาที่เหมาะสมของบริษัทปรับลดลง เราเชื่อว่าราคาหุ้นของ EGCO มีโอกาสที่จะปรับตัวได้ดีในช่วงนี้เนื่องจากยังเป็นหุ้น Defensive ในกลุ่มพลังงานที่มีการปรับตัวของราคาช้ากว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในกลุ่มอยู่มาก (laggard) โดยราคาหุ้นของ EGCO ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 6% ในช่วงเดือนที่ผ่านมาในขณะที่ดัชนีกลุ่มพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้น 13% และดัชนีตลาดปรับเพิ่มขึ้น 12% ตามลำดับ (หากราคาหุ้น EGCO ปรับตัวขึ้นได้ 13% เท่ากับกลุ่มพลังงาน ราคาหุ้นควรจะอยู่ที่ 121 บาท) เราเชื่อว่าผลกำไรที่จะเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 2/50 และโอกาสในการชนะการประมูลโรงไฟฟ้าอย่างน้อย 800 เมกะวัตต์ที่จะประกาศผลในปลายปีนี้จะผลักดันราคาหุ้นของบริษัทได้ในระยะนี้เราประเมินว่าบริษัทจะมีผลกำไรในปีหน้าเติบโตอีก 26% เป็น 7,925 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 15.05 บาท จากการที่โรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 (EGCO ถือหุ้น 50%) เฟส 1 กำลังการผลิต 734 เมกะวัตต์ สามารถเดินเครื่องผลิตได้เต็มปี หลังจากเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาบวกกับโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 เฟส 2 กำลังการผลิต 734 เมกะวัตต์ ก็จะเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนมีนาคม 2551 และในปี 2552 บริษัทก็จะมีโครงการที่ช่วยเสริมรายได้และผลกำไรได้อีกคือโครงการน้ำเทิน 2 กำลังการผลิต 1,070 เมกะวัตต์ (EGCOถือหุ้น 25%) ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลกำไรของบริษัทจะมีการต่อยอดการเติบโตไปได้ในอีกอย่างน้อย 1-2 ปีก่อนที่โรงไฟฟ้าใหม่ในเฟสแรก (3,200 เมกะวัตต์) ที่กำลังอยู่ในระหว่างการประมูลจะจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ

บล.เอเชีย พลัสแนะนำกลุ่มเกษตร (AGRI)เท่ากับตลาดฝ่ายวิจัยคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในงวด 2Q50 ต่อเนื่องถึง 3Q50 ของกลุ่มฯจะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ นำโดย CPF ตามมาด้วย STA (เฉพาะงวด 2Q50) และ TUF ทั้งนี้ปัจจัยสนับสนุนนอกจากจะเป็นราคาผลิตภัณฑ์แล้ว ปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นระดับสูงเนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลการส่งออก ยังเป็นปัจจัยหลัก ที่จะช่วยชดเชยปัจจัยลบจากค่าเงินบาทได้ ซึ่งปัจจุบันแม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าต่อเนื่อง แต่ฝ่ายวิจัยเห็นว่าไม่ใช่ระดับที่น่ากังวลมากนักเพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการส่งออกได้มีการปรับตัวเพื่อรองรับความเสี่ยงดังกล่าวไปค่อนข้างมากไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุน ปรับเพิ่มราคาขาย การร่นระยะเวลาขายล่วงหน้า รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินบาท หรือ Hedging ซึ่งช่วยลดผลกระทบไปได้ระดับหนึ่ง ทั้งนี้จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยพบว่าหากเงินบาทแข็งค่าขึ้นทุก 0.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ (ปัจุบันใช้สมมติฐานที่ 36 บาท/ดอลลาร์ฯ) จะส่งผลให้กำไรสุทธิของกลุ่มฯลดลง 5.2% โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อกำไรสุทธิมากที่สุด คือ CFRESH และ STA ในระดับ12.1% และ 10.1% ตามลำดับ ขณะที่ CPF ได้รับผลกระทบต่ำที่สุดราว 1.6% ส่วน TUFแม้ได้รับผลกระทบในระดับถึง 8.6% แต่จากการบริหารที่ดีทำให้บริษัทฯมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนระดับสูงมาชดเชย (ทำ Hedging ไว้) ฝ่ายวิจัยยังเลือก CPF และ TUFเป็นหุ้น Top picks ในกลุ่มฯ เนื่องจากราคาหุ้นยังมี Upside สูงสุด อีกทั้งยังมีผลการดำเนินงานที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นปัจจัยสนับสนุน ส่วน GFPT ยังคงให้ ถือ เพราะแม้ว่าราคาหุ้นจะสูงกว่า Fair value (อิง PER 8 เท่า) แล้ว แต่ยังมีปัจจัยบวกจากราคาไก่อยู่ระดับสูง แต่ปัจจัยลบระยะสั้นที่ควรระมัดระวัง คือ ผลการดำเนินงานในงวด 2Q50 ที่คาดว่าอาจจะยังขาดทุนอยู่เล็กน้อย ส่วน STA ซึ่งแนวโน้มผลการดำเนินงานในงวด 2Q50 น่าจะพลิกมีกำไร แต่จากราคายางที่ปรับลดลงต่อเนื่องจนเหลือ 61 บาท/ก.ก. เป็นความเสี่ยงต่อบริษัทฯในงวด 3Q50 อาจถึงขั้นขาดทุน

ที่มา ข่าวหุ้น [/color:8bda452ff6">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com