May 4, 2024   1:21:02 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กลยุทธ์เล่นหุ้นวันนี้
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 10/07/2007 @ 10:00:13
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

[b:542bbe0b50">บล.กิมเอ็ง [/b:542bbe0b50">
บทวิเคราะห์

แนวโน้มตลาดวันนี้
เราคาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวลงไปต่ำกว่า 840 จุดในวันนี้ หลังจากได้ปรับตัวขึ้นมาแรงมากถึง 16% หรือ 116 จุดในระยะเวลาเพียง 6 สัปดาห์ แต่การปรับตัวลงคาดว่าจะมากแต่อย่างใดเพราะยังมีแรงหนุนจากเม็ดเงินนอกไหลเข้า และจากแรงซื้อของกองทุนในประเทศ รวมทั้งจิตวิทยาของนักลงทุนภายในก็นับว่าเป็นบวกด้วย

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนปรนให้ต่างชาติขอกู้เงินบาทในประเทศได้ระหว่างวันที่ 16 ก.ค. - 17 ส.ค. เพื่อจะให้ลดส่วนต่างของเงินบาททั้งสองตลาดซึ่งทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปปิดที่ 33.77บาท/เหรียญสหรัฐฯ และ อาจจะปิดแข็งค่าขึ้นไปอีกในระยะสั้น เราเห็นว่าอาจจะมีการขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทย เพราะนักลงทุนจะกำไรทั้งหุ้น ทั้งค่าเงินมากขึ้น แต่ในด้านการนำเข้าสินค้าทุนก็จะได้รับประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาท

หุ้นขนาดใหญ่ที่จะเป็นตัวถูกทำกำไรได้แก่ PTT, TOP, BANPU, SCB และ TPIPL โดยหุ้นพลังงานอาจจะปรับตัวลงได้ในระยะสั้นๆ เพราะราคาน้ำมันในตลาดนิวยอร์คได้ลดลง 1% จากจุดสูงสุดในปีนี้เหลือ 72.05 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล เมื่อคืนนี้

หุ้น BBL, BBL-F, หุ้นมือถือ และ หุ้นหลักทรัพย์ที่ยังไม่ได้ปรับขึ้นไปตามตลาด จะยังคงโดดเด่นในการเข้าสะสม โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับศักยภาพธุรกิจที่ดีขึ้นจากโอกาสการเติบโตของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ การใช้มือถือมากในครึ่งหลังปีนี้ และปริมาณการซื้อขายที่พุ่งสูงขึ้นตามลำดับ

สัดส่วนการลงทุน
เรายังคงสัดส่วนการถือหุ้นไว้ที่ 60% ในระยะนี้ แม้เราจะแนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นขนาดใหญ่ที่ขึ้นมาแรงเพื่อเล่นรอบหาส่วนต่างออกไปบ้างก็ตาม โดยหุ้นเหล่านี้ก็ได้แก่ PTT, TOP และ SCB นักลงทุนควรปรับการถือครองหุ้นไปยัง BBL, BBL-F, หุ้นกลุ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่ และหุ้นหลักทรัพย์ที่ยังไม่ได้ปรับขึ้นไปตามตลาด

สัดส่วน(%) หุ้นหลัก
เงินสด 60%
หุ้นขนาดใหญ่ 20% BBL, BBL-F, PTT , ADVANC และ PTTEP
Index stocks 24% TRUE, SATTEL, RRC, ASP และ THAI.
หุ้นมีประเด็น 20% BAFS, SPALI, VNG, JUTHA, CCET, CCET-W1, SAT, WORK และ SVI
หุ้นขนาดเล็ก 6% OISHI, CENTEL และ MCS

กลยุทธ์หุ้น
- ขาย TPIPL จากผลประกอบการที่ต่ำเมื่อเทียบกับหุ้นที่ราคายังปรับตัวขึ้นไม่มาก
ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมา 36% ในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน โดยตลาดอาจจะมอง TPIPL เป็นการซื้อเก็งกำไรจาก Replacement cost ในช่วง 16-21 บาท อย่างไรก็ตามเราคาดว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มจะเข้าสู่ช่วงการปรับฐาน เนื่องจากราคาหุ้นในขณะนี้ซื้อขายที่ PER ปีหน้าถึง 17 เท่า ซึ่งนับว่าแพงเมื่อเทียบกับเหตุผลที่สนับสนุน
- ขายทำกำไร SCB, STEC, BAY และ BANPU เพื่อรอช้อนซื้อตอนราคาปรับตัวลดลง
หุ้นเหล่านี้มีปัจจัยพื้นฐานที่แกร่ง แต่ราคาหุ้นเริ่มแพงเล็กน้อยหลังจากราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาเมื่อเร็วๆนี้ เราจึงคาดว่าราคาหุ้นในปัจจุบันน่าจะปรับตัวลดลง 5-10%
- ซื้อ BBL และ BBL-F จากระดับราคาที่น่าสนใจกว่า
หุ้น BBL ซื้อขายที่ P/BV เพียง 1.5 เท่า ซึ่งนับว่าต่ำเมื่อพิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ในปี 2551 นอกจากนั้นส่วนต่างของ BBL-F เทียบกับ BBL ก็ยังคงต่ำ

หุ้นน่าจับตา
MCOT เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการปรับผังรายการด้านข่าวของช่อง 9 ซึ่งมีผู้ประกาศข่าวที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เริ่มตั้งแต่ 23 กรกฎาคมนี้ ผลประกอบการของบริษัทคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นในครึ่งปีหลังจากการปรับผังรายการ การฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภค และการเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินโฆษณาจากภาครัฐ อย่างไรก็ดี เราได้รวมปัจจัยดังกล่าวไปในประมาณการแล้ว เราจึงยังคงไม่ปรับประมาณการกำไรและราคาเหมาะสมที่ 38.50 บาท แนะนำ ถือ

บทวิเคราะห์วันนี้
- HEMRAJ <1.18 บาท : ขายทำกำไร> ราคาหุ้นพุ่งสูงเกินเป้าหมาย ปรับลดเป็นขายทำกำไร
- EGCO <113 บาท : ซื้อลงทุน> ปรับราคาเป้าหมายเป็น 130 บาท แนะนำ ซื้อลงทุน
- กลุ่มยานยนต์ <เป็นลบ/เป็นบวก> ตลาดรถเดือน มิ.ย. ยังติดลบต่ออีก 4.7%
- กลุ่มธนาคาร <เป็นบวก/เป็นบวก> ธนาคารขนาดใหญ่กำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง


:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 10/07/2007 @ 10:01:28 :
[b:52fc78276b">บล.ซิกโก้ [/b:52fc78276b">

ย้ำไปที่ PTTCH/DTAC/PSL

- ดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นจนหยุดไม่อยู่ ไม่ว่าด้วยต่างชาติจะ Bullish ด้วยเหตุผลอะไร ดัชนีที่ขึ้นมาใกล้ 850 จุด ต้องยอมรับว่าต่างชาติถือหุ้นใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อ SET ไว้เกือบหมดจะบิดไปทางไหนก็จะขึ้นอยู่กับแรงซื้อของต่างชาติเป็นหลัก การคาดเดาว่าจะขายเมื่อไร ตอนต้องยอมรับว่าขึ้นอยู่กับความพอใจของนักลงทุนต่างประเทศ แต่สิ่งหนึ่งที่เรายังมองว่าต่างชาติคงยังไม่ขายหนัก ๆ ออกมา เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยขายสวนออกมาตลอด และ SET ที่ขึ้นมาได้ระดับนี้คงเป็นการซื้อขายกันเองของนักลงทุนต่างชาติ เพราะที่ผ่านมาหุ้นในกลุ่มพลังงานหรือแม้แต่ธนาคารพาณิชย์ นักลงทุนรายย่อยน่าจะขายออกไปมากแล้ว และคงจะไปรับกลับ ณ. ดัชนีที่เป็นอยู่ประกอบกับแรงซื้อหุ้นของรายย่อยที่ผ่านมา มักจะเป็นหุ้นแถวสองหรือหุ้นเล็ก ๆ มากกว่าที่จะเป็นหุ้นใหญ่ ๆ ที่ต่างชาติถืออยู่

- ในบรรดาหุ้นแถวสองที่ก่อนหน้านี้ได้แนะนำไป ตอนนี้หากจะมองไปแล้วถือว่ายังไปได้อีก ส่วนที่แนะนำไปเมื่อวันศุกร์คือ TPIPL (ราคาเป้าหมายที่ 16.6 บาท) และ IRPC มีสัดส่วนการผลิตเม็ดพลาสติก HDPE 17% (ราคาเป้าหมายที่ 7.2 บาท) นั้น ข่าวที่กระตุ้นราคาหุ้นเท่าที่ทราบว่าคือ ส่วนต่างของเม็ดพลาสติก HDPE กับเอทธิลีน สร้างสถิติสูงสุดรอบใหม่รอบ 10 ปีที่ 650 ดอลลาร์ต่อตัน ดูจากรูปบนซ้ายบริษัทที่ผลิตเม็ดพลาสติก HDPE มีอยู่หลายบริษัท อย่างเช่น TPIPL IRPC รวมทั้ง PTTCH (สัดส่วนผลิตอยู่ที่ 21%) และเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 18% ส่วนรูปบนขวา เราแสดงราคาสารเอทธิลีนกับโปรพิลีนพบว่าในขณะนี้ต่างปรับตัวลง ซึ่งจะส่งผลกระทบกับผลดำเนินงานใน Q3 แต่อย่างไรก็ตามใน Q2 นี้ส่วนต่างเฉลี่ยยังถือว่าสูง และใน Q2 บริษัทไม่มีการหยุด Shut down เหมือน Q1 ดังนั้นผลดำเนินงานใน Q2 จะออกมาอยู่ในระดับปกติที่ 4917 ล้านบาท EPS ที่ 3.3 บาท ประเด็นที่กล่าวมายังถือว่าปกติ ส่วนที่ถือว่าไม่ปกติ และส่งผลดีต่อ PTTCH ต่อไปอีกระยะหนึ่งคือ การที่ต้นทุนของผู้ผลิตในภูมิภาคต่างสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน เพราะผู้ผลิตเหล่านี้ใช้ แนฟทา ในสัดส่วนถึงประมาณ 85% ขณะที่ PTTCH ใช้อีเทนจากกาซธรรมชาติที่มีต้นทุนต่ำกว่ามากกล่าวคือใช้กาซอีเทนในสัดส่วนสูงถึง 75% ส่วนแนฟธาใช้เพียง 25% ประเด็นตรงนี้จึงเป็นจุดที่แข็งมากของ PTTCH สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกตอนนี้ถือว่ากำลังขึ้นอีกครั้ง แต่จะไปสร้างสถิติสูงสุดรอบใหม่หรือไม่ต้องดูกันต่อ หากยังทรงตัวเหนือระดับ 72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะยังทำให้ PTTCH มีจุดแข็งกว่าผู้ผลิตในภูมิภาค เราจึงปรับราคาเป้าหมายจากเดิมที่ 95 บาท เป็น 107 บาท แนะนำ ให้ซื้อเล่นเก็งกำไร

- DTAC เป็นหุ้นอีกตัวที่ราคาหุ้นถือว่าต่ำกว่าราคาเป้าหมาย ประกอบกับปัจจัยที่เคยหน่วงทั้งกลุ่มเริ่มผ่อนคลาย คือ การที่ กสท. ชะลอการฟ้องเรื่อง AC เนื่องจากต้องรอ กทช. ตีความว่า AC กับ IC เป็นตัวเดียวกันหรือเปล่า นอกจากนั้น กทช.ได้อนุมัติเลขหมายใหม่ ให้กับ DTAC 1 ล้านเลขหมายกำไรในปีนี้คาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีคือ จะมีกำไรสุทธิที่ 8,136 ล้านบาท EPS ที่ 3.55 บาท ราคาหุ้นจะเทรดกันที่ P/E ปี 50 ที่ 12.3 เท่าเทียบกับ ADVANC ที่ 14.2 เท่า ส่วนค่า P/BV ปี 50 คาดว่า ADVANC จะเทรดกันที่ 3.6 เท่าขณะที่ DTAC เพียง 2 เท่า จากรูปล่างซ้ายเราแสดงราคาหุ้น DTAC ที่เทรดกันในสิงคโปร์ เทียบกับที่เทรดในไทยจะเห็นได้ว่าส่วนต่างของราคาหุ้นใน 2 ตลาดเริ่มสูงมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะเกิดการทำกำไรจาก ส่วนต่างราคาเกิดขึ้น คือ ขายในสิงคโปร์ แล้วมาซื้อในไทย เพราะราคาเมื่อแปลงเป็นเงินบาทแล้ว หุ้นในไทยจะถูกกว่าราคาเป้าหมายของ DTAC อยู่ที่ 48 บาท

- หุ้นในกลุ่มสุดท้ายที่เรามองว่าจะเริ่มกลับมาคึกคักได้คือ กลุ่มเดินเรือสาเหตุที่ยังไม่ไปไหนก็มาจากตอนนี้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นไปแรงมาก แต่หากราคาน้ำมันเกิดการพักตัวประกอบกับตอนนี้ดัชนี Baltic Dry เริ่มจะขึ้นกลับตามฤดูกาลของความต้องการขนส่ง (โดยเฉพาะในช่วง ส.ค. ถึง ก.ย.) หุ้นเดินเรือน่าจะเริ่มคึกคัก หุ้นเดินเรือประเภทเทกองของไทยอย่าง TTA และ PSL พื้นฐานดีมาก แต่ในส่วนของ TTA ราคาหุ้นที่ผ่านมาขึ้นไปสูงมากจนถูกขายออกมาในขณะที่ PSL ราคาถือว่ายังต่ำกว่าราคาเป้าหมายเฉลี่ยทั้งของ IBES และของเรา

- ในส่วนของพื้นฐานค่าระวางเรือในครึ่งปีหลังจะยังเป็นช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะการขนส่งถ่านหินและเหล็กไปยังจีน ในส่วนของปริมาณกองเรือประเภท Handysize ยังไม่เพียงพอกับความต้องการไปถึงปี 51 โดยตัวเลข Order book ของกลุ่มอยู่ที่ 31.7% ถือว่ายังน้อยเมื่อเทียบกับกองเรือประเภทอื่นตรงนี้กำลังบอกว่าโอกาสที่จะโตยังมีสูงกว่า นอกจากนั้นกองเรือประเภทนี้มีอายุเกิน 20 ปี ที่ต้องกลายเป็นเศษเหล็กถึง 60% ซึ่งจะส่งผลให้กองเรือยิ่งน้อยลง ในส่วนของบริษัท PSL มีจุดเด่นคือไม่มีหนี้ระดับความผันผวนของผลดำเนินงานต่ำเพราะจะเป็นสัญญาแบบตายตัว มีรายได้จากการขายเรือซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีสภาพคล่องสูงขึ้นไปอีก (Net Cash) และที่สุดจะจ่ายปันผลได้สูงมากจากรูปล่างขวา เป็นการแสดงระดับราคาหุ้นเดินเรือในภูมิภาคเอเชีย จะพบว่า PSL Underperfrom ที่สุดทางตรงข้ามก็มีโอกาสวิ่งได้แรง

- หากมาเปรียบเทียบค่า P/E ของกลุ่มเดินเรือในภูมิภาคในปี 50 ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 8.2 เท่า (ไม่รวม China shipping) โดย Malaysian Bulk Carriers อยู่ที่ 9.6 เท่า China shipping 17.3 เท่า Pacific basin 10.8 เท่า STX pan ocean 7.2 เท่า Sincere navigation 7.7 เท่า U ming marine 8.8 เท่า และ TTA ที่ 6.9 เท่า ส่วนค่า P/E ของ PSL คาดว่าจะอยู่ที่ 6 เท่า โดยกำไรสุทธิปี 50 อยู่ที่ 5,043 ล้านบาท EPS ที่ 4.84 บาท และมีราคาเป้าหมายที่ 37 บาทเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 32 บาท


:lol: [/color:52fc78276b">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 10/07/2007 @ 10:03:43 :
[b:364929b674">ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าแกว่ง อิงบวก วอลุ่มชะลอเล็กน้อย ตามตลาดหุ้นแถบเอเชีย [/b:364929b674">

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่ง อิงบวก วอลุ่มเทรดอาจชะลอเล็กน้อย ระหว่างเทรดอาจแกว่งทำกำไรออกมา เหตุเช้านี้ตลาดหุ้นแถบเอเชียเริ่มแกว่ง บวก-ลบเล็กน้อย หลังวานนี้ทำ New High เกือบทุกตลาดฯ แต่ตลาดหุ้นไทยังไร้ปัจจัยลบ และยังมีผลบวกจากผ่านร่างรธน. โดยให้แนวต้านไว้ที่ 850-860 จุด แนวรับ 820-830 จุด

น.ส.ทัศน์มน วิทยารักษ์สรรค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.สินเอเซีย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งตัว อิงบวก แต่วอลุ่มเทรดอาจจะมีการชะลอลงเล็กน้อย และในระหว่างเทรดอาจจะมีการแกว่งทำกำไรออกมาได้ เนื่องจากเช้านี้ตลาดหุ้นในแถบเอเชียเริ่มมีการแกว่งตัวทั้งขาขึ้น และขาลงเล็กน้อย หลังวานนี้(9 ก.ค.)เกือบทุกตลาดฯได้ขยับขึ้นไปทำ New High ก็เลยทำให้วันนี้อาจจะมีการชะลอลงทุนเล็กน้อย ซึ่งตลาดหุ้นไทยคงจะคล้ายคลึงกัน

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบลงทุน และยังมีผลบวกจากการผ่านร่างรัฐธรรมนูญด้วย โดยให้แนวต้านไว้ที่ 850-860 จุด แนวรับ 820-830 จุด

ถ้าให้ดูตามที่ผ่านมาหุ้นในกลุ่มพลังงานก็ยังเป็นตัวที่ทำให้ดัชนีฯปรับตัวขึ้นได้ และราคาน้ำมันก็ยังอยู่ในทิศทางที่ค่อนข้างดี พลังงานอาจจะขึ้นได้เล็กน้อย แต่ให้ระมัดระวังการทำกำไรด้วย และช่วงนี้ตลาดฯก็ได้ขึ้นมาค่อนข้างมาก จึงคาดว่าตลาดฯอาจจะแกว่งค่อนข้างแรงได้ ทั้งขึ้น-ลง
รวมทั้งให้ระวังการตัดสินใจในเรื่องดอกเบี้ยของญี่ปุ่น ในวันที่ 12 ก.ค.นี้ด้วย เพราะอาจจะมีผลต่อตลาดหุ้นพอสมควร เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นแหล่งเงินทุนที่ค่อนข้างต่ำ ในการทำ carry trade

ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน :
- ตลาดหุ้นนิวยอร์คเมื่อวานนี้(9 ก.ค.) ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 13,649.97 จุด เพิ่มขึ้น 38.29 จุด(+0.28%) ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 1,531.85 จุด เพิ่มขึ้น 1.41 จุด(+0.09%) และดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 2,670.02 จุด เพิ่มขึ้น 3.51 จุด (+0.13%)

- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,028.26 ล้านบาทเมื่อวานนี้

- ราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการวานนี้ที่ 72.19 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 0.62ดอลลาร์

- แบงก์ชาติคลายกฎคุมเงินบาท เปิดทางนอนเรสิเดนท์ ที่ป้องกันความเสี่ยงในตลาดนอกประเทศสามารถย้ายเข้ามาทำสวอปในประเทศได้ หวังลดปัญหาค่าเงินบาทตลาดออฟชอร์แข็งค่าขึ้นมากเกินพื้นฐาน จนทำให้ผู้ส่งออกตกใจเร่งขายดอลลาร์และหวังคุมสองตลาดห่างไม่เกิน 2 บาท

- นายแบงก์เชื่อเป็นมาตรการปูทางยกเลิกสำรอง 30% ขณะที่หอการค้าออกโรงหนุน เชื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาท "เกริกไกร"จี้เอกชนเร่งปรับตัว นัด กกร.ถกค่าเงิน 16 ก.ค.นี้ ด้านบาทแข็งไม่หยุดแตะ 33.77 ต่อดอลลาร์

- รมว.คลัง ชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2551 ว่า สถานการณ์รายรับของกระทรวงการคลัง ประจำปี 2550 ที่คาดว่าจะ ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 3 หมื่นล้านบาทนั้น ขณะนี้คาดว่าจะสามารถทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.42 ล้านล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น

- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เผยการเก็บรายได้ของรัฐบาลเดือน มิ.ย.50 สูงกว่าประมาณการ 1.89 พันล้านบาท หรือ 1.9% ส่งผลให้การเก็บรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณตั้งแต่เดือน ต.ค. 2549 - มิ.ย. 2550 สูงกว่าประมาณการ 4.48 พันล้านบาท หรือ 0.4%

- การเคหะฯรับพิษบ้านเอื้ออาทรไม่เลิก โครงการใหญ่ทำขาดทุนแล้วร่วม 1.5 พันล้านบาท แบกภาระค่าดูแลโครงการสร้างแล้วไม่มีคนอยู่เดือนละ 15 ล้านบาท แถมดอกเบี้ยเงินกู้ต้องจ่ายวันละ 1.5 ล้าน "ขวัญสรวง"ยอมรับยิ่งแก้ไขล่าช้ารัฐยิ่งสูญเสีย เร่งผลักดันแผน "ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย"ให้ทันภายในรัฐบาลชุดนี้

- เอ็กซิมแบงก์ เผยการปล่อยสินเชื่อในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 ขยายสินเชื่อได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่งผลให้ยอดสินเชื่อคงค้างปรับตัวลดลงตามไปด้วย ส่วนหนึ่งมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ ชะลอตัว อีกส่วนหนึ่งมาจากการที่ธนาคารถูกธนาคารพาณิชย์แย่งลูกค้ารายใหญ่ไป แต่กำไรของธนาคารดีขึ้นจากการบริหารจัดการ

--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/รัชดา

:lol:
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#3 วันที่: 10/07/2007 @ 10:28:11 :
[b:ccf2009e39">บล.พัฒนสิน [/b:ccf2009e39">

กลยุทธ์การลงทุน: ระยะสั้น เลือกขาย แต่ยังเพิ่มพอร์ตลงทุนในระยะยาว

- ระยะสั้น - เปลี่ยนตัวเล่น จาก BAY, TMB, KTB ,มาเป็น BBL และจาก PTTEP มาเป็น PTT

- เก็งกำไร PDI จากราคาสังกะสี และ สะสม กลุ่มเกษตร (UVAN LST KSL) ตาม demand จากจีน

- ลดความเสี่ยงของพอร์ตโดย ขาย หุ้นที่มีราคาเกิน fair value และที่จะได้รับผลกระทบจากบาท
แข็งตัว (GFPT, TSTH, Q-CON, KCE, MPT, SVI, GRAMMY, TNH และ VIBHA)

- ถือ BANPU, EGCO, KBANK
- ระยะยาว ถือ/ซื้อเพิ่ม หุ้นที่ยังมี relative valuations ถูกในภูมิภาค (PTT, TOP, RRC, BBL)

Stocks highlight:
Companies Comments Rating*
CPF Effects from increasing grain price Sell into Strength
TMB Switch to BBL S/T Sell
PTTEP Switch to PTT S/T Sell

*เป็นคำแนะนำสำหรับการลงทุน 1-2 วันและไม่ได้อ้างอิงจากปัจจัยพื้นฐาน

โดย บจ.หลักทรัพย์ พัฒนสิน ประจำวันที่ 10 ก.ค.2550



:lol:
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#4 วันที่: 11/07/2007 @ 19:57:57 :
รัฐบาลท่านสุรยุทธน่าจะคิดได้นะว่า ไหน ๆ ต่างชาติมันก็ไม่ไว้ใจให้กู้หรือมาลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ยกเว้นการโจมตีเงินบาทจากการลงทุนในตลาดหุ้นเพื่อกำไร 2 ต่อ คือ
1.กำไรจากตลาดหุ้น
2.กำไรจากการทุบค่าเงินบาท
ขืนตั้งรับอย่างนี้ต่อไปดุจเสมือนหนึ่งว่าท่านต้องการให้หายนะมาเยือนประเทศไทย ท่านย่อมได้รับการก่นด่าประนามจากปวงชนชาวไทยว่าท่านปล่อยให้เศรษฐกิจมันเน่าจนล้มหายลอยแพพนักงานไปอีกทั้งท่านยังปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาหาประโยชน์กอบโกยกำไรซึ่งเป็นเม็ดเงินมหาศาลออกไปจากแผ่นดินไทยอีก
อย่ากระนั้นเลยผมยังอยากให้ท่านสุรยุทธลงจากหลังเสืออย่างสง่างามด้วยการให้ท่านต้องกล้าที่จะหยุดยั้งเม็ดเงินที่ไหลเข้าด้วยมาตรการสำรอง 80% อย่าอายความจริงที่ตลาดหุ้นจะไม่สวยตกฮวบฮาบแต่หลังจากนั้นไม่นานการส่งออกก็จะฟื้นฟู การจ้างงานก็จะตามมา พนักงานจะถูกเรียกตัวกลับมามีงานทำแล้วท่านนายกฯสุรยุทธก็จะได้รับความนิยม เศรษฐกิจไทยก็จะเริ่มฟื้น ๆ จนสามารถสัมผัสได้ สุดท้ายประชาชนก็จะออกมาปกป้องท่านเองโดยที่ท่านไม่ต้องสร้างภาพหลอกลวงบิดเบือนด้วยการปกปิดข่าวแบบทุกวันนี้
 กลับขึ้นบน
บุคคลทั่วไป
บุคคลทั่วไป
#5 วันที่: 11/07/2007 @ 20:09:53 :
การจ้างงานไม่ได้มาจากส่งออกอย่างเดียว แล้วธุรกิจส่งออกบ้านเรา ก็จ้างแต่แรงงานระดับล่าง

ตราบใดที่ยังไม่มีธุรกิจส่งออก สินค้ามีราคา ประเทศไทยก็จะเจอปัญหาแบบนี้ตลอด

ธปท. เอาเงินภาษีไปอุ้มเงิน ขาดทุนไปเป็นแสนล้านเพื่อผู้ส่งออก จะให้อุ้มอีกเหรอ ตอนกำไรเก็บเงียบ ขาดทุนโวยวาย ธุรกิจส่งออกมีลูกค้าแน่ๆอยู่แล้ว ถึงแม้รายใดจะไม่รอด รายใหม่หรือรายเดิมที่แข็งแรงเขาก็ทำแทนได้ อย่าใช่ขู่ว่า เดี๋ยวเจ๊งหมดประเทศไทยไม่รอด
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com