May 4, 2024   2:05:51 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > * 6 เซียน ชี้ช่องทาง รอแดงก่อนค่อยซื้อ
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 05/07/2007 @ 19:45:59
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ฟินันซ่า ชี้ ภาพรวมกองทุน Asia Emerging Fund ย้ายเงินลงทุนหนีตลาดหุ้นเกาหลีใต้ มาไทย ให้น้ำหนักลงทุนตลาดฯไทยดีสุด อีกทั้งระบุตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน เงินนอกท่วมตลาดหุ้นไทย กว่า 1 แสนล้านบาท หลังต่างชาติซื้อสะสมต่อเนื่อง และยังหนุนค่าเงินบาทแข็งค่าไม่หยุดยั้งที่ 33.99 บาท/ดอลลาร์ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะผลตอบแทนดี-ราคาถูก ขณะที่ 5 โบรกฯ เปิดกลยุทธ์แนะลงทุนช่วงเงินต่างชาติทะลัก ชี้ช่อง ใครยังไม่มีหุ้นใจเย็นอย่าเพิ่งซื้อ เพราะราคาขึ้นสูงแล้ว รอหุ้นลงอีกรอบค่อยเข้าซื้อ แนะกลุ่มแบงก์-สื่อสาร-ชิ้นส่วนฯ -อสังหาฯ แต่ ขณะที่นักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในพอร์ตแล้ว แนะนำให้ทำกำไรเล่นรอบได้

เม็ดเงินต่างประเทศยังไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงนี่ หรือจะบอกได้ว่านับตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม เป็นต้นมา เงินลงทุนจากต่างชาติยังคงเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อยู่ โดยเฉพาะนักลงทุนสัญชาติอเมริกา ยุโรป รวมไปถึงกองทุนญี่ปุ่น เนื่องจากนักลงทุนกลุ่มนี้มองเห็นว่าตลาดหุ้นไทยยังถูก มีค่าพี/อี เรโช ต่ำเพียงแค่ 10 เท่า เมื่อเทียบกบับตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน ในขณะที่อัตราผลตอบแทนการลงทุนในฝั่งอเมริกาและยุโรป รวมไปถึงเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นในสก็อตแลนด์ เมื่อสัปดาห์ก่อนส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความวิตกกังวล จึงทำให้โยกเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นแถบเอเซียแทน ซึ่งก็ทำให้ตลาดหุ้นไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย จนทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าถึง 33.99-34.03 บาทต่อดอลลาร์ ไปพร้อมๆกับดัชนีฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้น และนอกเหนือจากนี้นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีความมั่นใจในภาวะการเมือง และเศรษฐกิจของไทยมากขึ้น

โดยการเมืองนั้น ยังมีความเชื่อมั่นว่าจะเห็นการเลือกตั้งได้ในปลายปีนี้ หลังจากทั้ง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าจะผลักดันให้มีการเลือกตั้งให้ได้แน่นอน หลังจากการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เรียบร้อยในเดือนสิงหาคมนี้ ในขณะที่เรื่องของเศรษฐกิจนั้นก็เริ่มมีสัญญาณจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ภาครัฐ น่าจะเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดทางศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยก็เพิ่งจะปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ปีนี้เป็นขยายตัว 4-4.5% จากก่อนหน้าที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 3.5-4% เท่านั้น ส่วนปีหน้านั้นมั่นใจว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ถึง 5-6% เพราะได้โครงเมกะโปรเจ็กที่เริ่มก่อสร้างเข้ามาช่วยกระตุ้นอีกทางหนึ่ง รวมไปถึงการเร่งเบิกจ่ายเม็ดเงินงบประมาณปี 2550 และการเริ่มต้นใชจ่ายงบประมาณปี 2551 ในเดือนตุลาคม ที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดใช้จ่าย และมีเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น สนับสนุนให้เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีเติบโตขึ้นได้

เม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาตินับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. จนถึงเมื่อวานนี้ (5 ก.ค.) ซื้อสุทธิ 19,580.21 ล้านบาท และหากนับตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน จนถึงปัจจุบัน ซื้อ
สุทธิไปแล้ว 49,920.32 ล้านบาท ในขณะที่ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมา (ตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย.-5 ก.ค.50) พบว่า SET Index วันที่ 29 มิ.ย.50 ปิดตลาดที่ระดับ 776.79 จุด เปรียบเทียบกับปิดตลาดวันนี้ 5 ก.ค.50 ที่ระดับ 823.93 จุด เพิ่มขึ้น 47.14 จุด หรือ +6.06% แม้ว่าเมื่อวานนี้ ดัชนีจะปรับตัวลดลงหลังจากขึ้นมาต่อเนื่อง 3 วันติดกัน โดยปิดที่ระดับ 823.93 จุด ลดลง 1.52 จุด หรือ 0.18% มูลค่าการซื้อขาย 34,899.20 ล้านบาท

ดังนั้นด้วยปัจจัยเหล่านี้ จึงทำให้เม็ดเงินต่างชาติยังไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ต่อไป และเชื่อว่าในระยะสั้นถึงปานกลางจากนี้ เงินสกุลต่างชาติยังมีความต้องการลงทุนในหุ้นไทยต่อไป อย่างไรก็ตามแม้เงินนอกจะท่วมตลาดหุ้นอยู่ในตอนนี้ และน่าจะเป็นเรื่องดีต่อการดันให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ในส่วนของนักลงทุนในประเทศเองนั้น เมื่อภาวะตลาดดีก็อาจจะสบโอกาสให้ลงทุนด้วยเหมือนกัน ทั้งในส่วนของนักลงทุนที่อาจจะเกาะขบวนรถช้าไปหน่อย ยังไม่มีหุ้นในมือ และกลุ่มที่ถือลงทุนอยู่ในขณะนี้ ควรจะมีกลยุทธ์ในการลงทุน
อย่างไรในภาวะตลาดฯ ปัจจุบัน eFinanceThai.com จึงได้รวบรวมกลยุทธ์การลงทุนจากโบรกเกอร์หลายสำนัก ในช่วงที่เม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้น


* ฟินันซ่า ชี้ กองทุน Asia Emerging Funds ยังหอบเงิน-ให้น้ำหนักการลงทุนไทยดีสุด
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันซ่า เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบกระแสเงินลงทุนช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เราพบว่านักลงทุนต่างประเทศเปลี่ยนเป็นการขายสุทธิ 6 ประเทศในเอเชีย 140 ล้านเหรียญ จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ซื้อสะสมไป 2.9 พันล้านเหรียญ ซึ่งไม่ผิดจากที่เราคาดไว้ เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุนก่อนการประชุม FOMC ในวันพฤหัสที่ผ่านมา อนึ่งเราพบว่าเกาหลีเป็นประเทศที่ถูกขายสุทธิมากที่สุด 990 ล้านเหรียญ ตามมาด้วย อินเดีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ที่ขายสุทธิ 67, 24 และ 28 ล้านเหรียญ ตามลำดับ สวนทางกับไต้หวัน และไทยที่ซื้อสุทธิ 883 ล้านเหรียญ และ 39 ล้านเหรียญ

ภาพโดยรวมกองทุน Asia Emerging Funds ยังคงลดการลงทุนในเกาหลีใต้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ย้ายเงินลงมาที่ไต้หวัน และยังให้น้ำหนักการลงทุนไทยดีสุดในกลุ่ม TIP ในเวลานี้กล่าวถึงตลาดไทยหลังจาก Underperform มานาน จนถึงวันที่ 3 ก.ค. ปรากฏว่านักลงทุนต่างประเทศได้เข้าซื้อสะสมประมาณ 1.07 แสนล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี หรือเพิ่มขึ้น 167% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน อย่างไรก็ดีการปรับตัวขึ้นมาของ SET วานนี้ส่งผลให้ตลาดไทยปรับตัวขึ้นมา 20.5%YtD และเริ่มจะเข้าใกล้กับ FTSE-ASEN ที่ปรับตัวขึ้นมา25.3%YtD



* ให้เป้าหมายดัชนีระยะสั้น855จุด - Best Case ที่ 944 จุด ในปีนี้
เพราะฉะนั้นหากพิจารณาเปรียบเทียบ SET กับ Performance ของ FTSE-ASEAN และ MSCI Asia ExJapan จะได้เป้าหมายระยะสั้นที่ 855 จุด ขณะที่ เป้าหมาย Best Case จะอยู่ที่ 944 จุด ในปีนี้

สำหรับเป้าหมายดัชนีปีหน้าบนสมมุติฐานการประเมินมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน EPS Growth ที่ 5% จะได้ SET เป้าหมายที่ 873 จุด บนสมมุติฐาน PER12 เท่า และ 1092 จุด บนสมมุติฐาน PER 15 เท่า

ดังนั้นสิ่งที่นักลงทุนต้องระวังต่อไปว่าดัชนีจะถึงเป้าหมายหรือไม่อยู่ที่ 1)ปัจจัยการเมืองจะกลับมากดดันอีกหรือไม่ 2) อัตราเงินเฟ้อที่อาจปรับสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลมายังอัตราดอกเบี้ย FED และการปรับพอร์ตการลงทุนตามมา และ 3) เมื่อแรงซื้อหยุดนักลงทุนต้องหยุดการเก็งกำไร และเริ่มมองหาทางขายทำกำไรในระยะสั้น




*พัฒนสิน แนะ คนมีหุ้นรอขายตอนดัชนีขึ้นถึง 830-840 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า นักลงทุนที่ยังไม่ได้เข้าไปซื้อหุ้นหรือยังไม่มีหุ้นในช่วงนี้ ควรที่จะรอดูผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ก่อน เพราะจะได้พิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานรวมทั้งผลงานที่ผ่านมาว่าดีพอที่จะเข้าไปลงทุนได้หรือไม่ ส่วนนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้วควรถือรอเพื่อขายทำกำไร เมื่อ SET Index ปรับเพิ่มขึ้นแตะแนวต้านสำคัญที่ 830 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 840 จุด

" ดัชนีฯ ก็มีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้วก็ควรถือรอขายทำกำไร เมื่อดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นถึง 830 จุด และ 840 จุด ส่วนเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติยังบอกไม่ได้ว่าจะไหลเข้ามานานไหมหรืออันตรายหรือยัง เพราะจะต้องรอข้อมูลจากทางการการก่อน ซึ่งตอนนี้แบงก์ชาติกับตลาดฯ ก็กำลังตรวจสอบอยู่ " นายชัย กล่าว




*เกียรตินาคิน เตือน นลท.ยังไม่หุ้นอย่าเพิ่งเข้า รอซื้อที่แนวรับ 815-810 จุด
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า นักลงทุนที่ไม่มีหุ้นยังไม่เหมาะที่จะเข้าไปลงทุนในช่วงนี้ เพราะในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 50 จุด ซึ่งถือว่าสูงมากแล้ว ดังนั้นควรรอซื้อเมื่อ SET Index ปรับลดลงมาที่แนวรับ 815 จุด และแนวรับถัดไปที่ 810 ดีกว่า

ส่วนนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ หลักทรัพย์ และสื่อสาร แนะนำให้ถือเพื่อรอขายทำกำไร เมื่อดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 830 จุด แต่ถ้าหากผ่านขึ้นไปได้จะมีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 840 จุด

" ไม่สามารถประเมินได้ว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นระยะสั้นหรือระยะยาว รวมทั้งเริ่มอันตรายหรือไม่ เนื่องจากคาดเดายากนอกจากนี้ยังต้องดูปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ประกอบด้วย" นางวิริยา กล่าว


* ดีบีเอส แนะรอซื้อหุ้นแบงก์-สื่อสาร-ชิ้นส่วนฯ-อสังหาฯ
นางสาวอาภากรณ์ แสวงพรรค รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวถึงกรณีเม็ดเงินต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยต่อเนื่อง ว่า เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนดังกล่าวน่าจะมีทั้งการลงทุนระยะสั้น และระยะยาว โดยที่ผ่านมา ดีบีเอสฯได้พูดคุยกับทางผู้จัดการกองทุนต่างประเทศ ก็พบว่านักลงทุนต่างประเทศส่วนใหญ่ยังสนใจเข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยอยู่มาก

ทั้งนี้ ประเมินว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยจากนี้น่าจะปรับขึ้นต่อ ซึ่งจากดัชนีฯที่ยืนเหนือ 800 จุดได้ ก็เป็นสัญญาณสะท้อนให้เห็นว่าดัชนีฯยังเป็นขาขึ้น โดยเฉพาะหากสถานการณ์การเมืองชัดเจน และมีการเลือกตั้งแล้วเสร็จก็น่าทำให้ภาพของเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมดีขึ้น และหนุนให้ความมั่นใจนักลงทุนเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดย บล.ดีบีเอสฯ คาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีหน้าโต 5.1% จาก 4.4% ปีนี้

สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นในพอร์ต แนะนำให้รอซื้อเมื่อราคาหุ้นปรับลดลง ในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ สื่อสาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอสังหาริมทรัพย์ แนะนำ BBL, KBANK,KTB,MAJOR,CCET,DELTA,QH และ PS ขณะที่นักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในพอร์ตแล้ว แนะนำให้ทำกำไรเล่นรอบได้



*ฟาร์อีสท์ แนะ นลท.ที่มีหุ้นในมือ ควรปรับพอร์ตลงทุนบ้าง หากมีกำไร
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า เม็ดเงินจากต่างชาติที่เข้ามาไหลเข้ามาในช่วงนี้ ไม่ใช่การเข้ามาระยะสั้น เพื่อเก็งกำไรอย่างแน่นอน เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่มีเข้ามาในขณะนี้ กับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ก็ถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ประกอบกับการที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคประเทศอื่นดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมากเกินไป จนมีความเสี่ยงมากขึ้น จึงทำให้เงินทุนจากต่างชาตินั้นไหลเข้ามาในตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงตลาดหุ้นไทยก็ได้รับอานิสงส์ด้วย

" จำนวนเงินที่เข้ามานั้น ยังไม่ถือว่ามากเกินไป เพราะค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยยังค่อนข้างต่อเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นที่อื่น และการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยมีการปรับขึ้เพียง 26% ขณะที่ประเทศอื่นมีการปรับขึ้นกันกว่า 100% แล้ว " นายวีระชัย กล่าว

กลยุทธ์การลงทุน สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้น โดยนักลงทุนระยะสั้น ให้ซื้อ หุ้นกลุ่ม หลักทรัพย์ กลุ่มที่อยู่อาศัย รวมถึงหุ้นกลุ่มที่น่าจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนของรัฐบาล และการกระตุ้นภาคเอกชน อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ส่วนนักลงทุนระยะยาว แนะนำให้รอจังหวะ ซื้อลงทุน ในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มธนาคาพาณิชย์ และนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในมือ แนะนำให้ปรับพอร์ตการลงทุนบ้าง เมื่อมีกำไรอยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว โดยประเมินเป้าหมายของดัชนีฯในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 944 จุด และให้เป้าหมายระยะสั้นไว้ที่ที่ 855 จุด



*SCIBS ใช้จังหวะหุ้นลงเก็บหุ้นบิ๊กแคป

นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ ไม่ใช่เม็ดเงินที่เข้ามาระยะสั้นอย่างแน่นอน เนื่องจากเมื่อพิจารณาถึงกลุ่มหลักทรัพย์ที่เข้ามาลงทุนแล้ว จะเห็นได้ว่าไม่ใช่เป็นการเข้ามาเก็งกำไร ประกอบกับเม็ดเงินที่เข้ามายังคงมีแนวโน้มไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และได้ส่งผลกระทบไปถึงค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วย ดังนั้นจึงเชื่อว่าเม็ดเงินที่เข้ามาในครั้งนี้เป็นเม็ดเงินจริง

ส่วนการที่ดัชนีฯปรับตัวลดลงวานนี้ เป็นเพียงการพักฐานเพื่อขึ้นต่อ และยังขาดตลาดหุ้นต่างประเทศที่ใช้อ้างอิง จึงทำให้แผ่วแรงลงบ้าง ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้จังหวะนี้เข้าลงทุน ซื้อหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่ ซึ่งปรับตัวลดลงมาในวันนี้ อาทิ RRC-BBL-LH-ADVANC ส่วนนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ก็ให้ ถือต่อ

" ดัชนีลงแค่พักฐาน ไม่ต้องตกใจดัชนียังสามารถไปได้ต่อ เพราะเม็ดเงินต่างชาติก็ยังคงไหลเข้ามาอยู่ และค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยต่ำกว่าที่อื่น ดังนั้นจึงเชื่อว่ายังคงเป็นตลาดหุ้นที่ได้รับความสนใจมากกว่าที่อื่น" นางสาวมยุรี กล่าว

ทั้งนี้ได้ตั้งเป้าหมายการปรับขึ้นของดัชนี น่าจะอยุ่ที่ระดับ 936 จุด ซึ่งได้มีการปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าสิ้นปีนี้ SET Index น่าจะอยู่ที่ระดับ 830 จุด


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com