May 4, 2024   3:10:54 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 05/07/2007 @ 09:38:03
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.ฟาร์อีสท์แนะนำซื้อเก็งกำไรTTAราคาเป้าหมาย 49.75 บาทประเด็นข่าวที่ว่า TTA จะนำบริษัทย่อยคือ เมอร์เมด มาริไทม์ (MM) เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เรามองว่ามีความเป็นไปได้สูง เนื่องจาก MM ได้เตรียมความพร้อมโดยการแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนไว้แล้ว ประกอบกับการเข้าจดทะเบียนฯ ที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์ (SGX) จะช่วยเพิ่มมูลค่าเพิ่ม (Premium) ให้กับ MM และสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของ MM ได้มากขึ้น เนื่องจากเราพบว่าหุ้นกลุ่มธุรกิจให้บริการทางวิศวกรรมใต้น้ำ และขุดเจาะใต้ทะเล ปัจจุบันซื้อขายกันอยู่ที่ระดับ PER ราว 20 เท่า (NYSE: Industry OilWell Services & Equipment) ขณะที่ Pure Player ด้านนี้อย่าง Helix ซื้อขายกันที่ PER ประมาณ 11 เท่า ดังนั้นเราจึงทำการปรับเพิ่มมูลค่าสำหรับ TTA จากประเด็นดังกล่าวโดยปรับเพิ่ม PER เป็น 7.30 เท่า เพื่อสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของ MM และจากภาวะค่าระวางเรือที่ยังคงสามารถทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งเราคาดว่า TTA จะได้รับผลประโยชน์อย่างชัดเจนในช่วง 3Q50-4Q50 นี้ (เม.ย.-ก.ย. 50) เนื่องจากสัญญาในส่วนของLiner (คิดเป็น 37% ของจำนวนวันเดินเรือ) ที่มีอายุสัญญาราว 2-4 เดือนสามารถเจรจาปรับเพิ่มค่าระวางได้ ซึ่งสอดคล้องกับผลประกอบการของ TTA ที่มักจะ Lag กับ BDI ราว3-6 เดือน เราจึงได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิเพิ่มเติม เนื่องจากเห็นว่าวัฏจักรขาขึ้นของ BDI รอบนี้ยาวกว่าที่เราคาดไว้ เราประเมินมูลค่าของ MM โดยใช้ PER ที่ 9เท่าซึ่งเป็นอัตราคิดลดจาก PER ของอุตสาหกรรมOil Well Services & Equipment(NYSE) ที่ซื้อขายกันราว 20 เท่า ขณะที่ Pure Player ด้านนี้อย่าง Helix ซื้อขายกันที่ PER ประมาณ 11 เท่า บนสมมติฐานที่ว่า MM Contribute กำไรสุทธิให้ TTAเฉลี่ยที่ 200 ล้านบาทต่อไตรมาส คิดเป็นมูลค่าของ MM ได้ที่ 221 บาทต่อหุ้น ( Par 10บาท ) ซึ่งขณะนี้ TTA ถือ MM ทั้งทางตรงและทางอ้อม อยู่ทั้งสิ้น 78.09% ของทุนเรียกชำระแล้วหรือเป็นจำนวนราว 29.9ล้านหุ้น ขณะที่ BV ของ MM ณ 30 ก.ย. 49 อยู่ที่เพียง 59.80 บาท

บล.เกียรตินาคินแนะนำเต็มมูลค่าBGHราคาเป้าหมาย 38.25 บาทคาดใน 2Q/50 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 23% Y-O-Y แต่ลดลง 19% Q-O-Q จากผลฤดูกาล ทั้งนี้แม้เราแนะนำ "เต็มมูลค่า" จากการประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 50 ของหุ้น BGH เท่ากับ 38.25 บาท ตามวิธี DCF (WACC 9%) สะท้อน PE ปี 50 ที่ 29.4 เท่า ขณะที่ปัจจุบันหุ้นBGH ซื้อขาย PE ที่ 39 เท่า ซึ่งถือว่าสะท้อนการเติบโตในปีนี้แล้ว แต่เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อแนวโน้มระยะยาวของ BGH จากจำนวนคนไข้และอัตราค่ารักษาที่มีโอกาสขยายตัวทำให้ BGH จะมีการเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ย (CAGR) ใน 3 ปีข้างหน้า (2551 - 2553) แข็งแกร่งที่ 23% และมีมูลค่าเหมาะสมปี 51 เท่ากับ 49 บาท ตามวิธี DCF (WACC 9%) และปรับสมมติฐาน Terminal growth เป็น 5% จาก 2%ใน 2Q/50 คาดว่า BGH จะมีรายได้ 4,197 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% Y-O-Y เนื่องจากจำนวนคนไข้ที่เพิ่มขึ้น และการปรับขึ้นอัตราค่ารักษาประมาณ 10% นอกจากนี้คาดว่ากลุ่ม BGH ยังได้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงพยาบาลที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นต่อเนื่อง และต้นทุนที่มีแนวโน้มต่ำลงจาก Synergyของเครือข่ายโรงพยาบาล เราคาดว่าประโยชน์ดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็นจาก Grossmargin ที่ดีขึ้นเป็น 43.9% ใน 2Q/50 จาก 43.7% ใน 2Q/49 และ Operatingmargin ที่ดีขึ้นเป็น 13% ใน 2Q/50 จาก 11.7% ใน 2Q/49 อย่างไรก็ดีตามธรรมชาติของธุรกิจโรงพยาบาลที่มีช่วง low Season อยู่ในไตรมาส 2 จะทำให้รายได้ของ BGHลดลง 9% Q-O-Q ตามจำนวนคนไข้ OPD และ IPD ที่มีแนวโน้มลดลง 3% และ 6% Q-O-Qตามลำดับ ขณะเดียวกันจำนวนคนไข้ IPD ที่ลดลงมากกว่า จะกดดัน Gross margin ให้ต่ำกว่าใน 1Q/50 ส่งผลให้ใน 2Q/50 คาดว่า BGH จะมีกำไรสุทธิ 344 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 23% Y-O-Y แต่ผลกระทบฤดูกาลจะฉุดกำไรสุทธิลดลง 19% Q-O-Q

บล.เคจีไอแนะนำถือSCIBราคาเป้าหมา 21.6 บาทจากการประชุมกับธนาคารฯ เรายังคงเห็นว่าปัญหาการตั้งสำรองยังคงมีอยู่ แม้ว่าจะมีการตั้งสำรองก้อนโตกว่า 1.6 พันล้านบาทในไตรมาส 1/50 ไปแล้วเพื่อให้เป็นไปตามมาตราฐาน IAS39 จากการจัดชั้น NPL เชิงคุณภาพ ธนาคารฯ แจ้งให้ทราบว่าน่าจะมีการตั้งสำรองเพิ่มอีกพอสมควรในไตรมาส 2/50 พิจารณาจากสำรองส่วนเกินของ SCIB (1.5พันล้านบาทในไตรมาส 1/50) ที่ส่วนมากเป็นสำรองเฉพาะ หนี้สงสัญจะสูญที่เพิ่มขึ้นโดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันจะบังคับให้ SCIB ต้องตั้งสำรอง 100% โดยไม่มีกันชนใดๆ จากสำรองทั่วไป จากนั้นเราสมมติว่าอัตราสัดส่วนหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มอีกเล็กน้อยเป็น 5.8% จาก 5.08%หรือเท่ากับหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น 1.8 พันล้านบาทโดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกันเพียง 50%เหมือนในไตรมาส 4/49 ของจำนวนหนี้ฯ SCIB จะต้องบันทึกหนี้สงสัยจะสูญถึง 900 ล้านบาท คาดว่ากำไรไตรมาส 2/50 จะอยู่ที่ 504 ล้านบาทลดลง 32.2% YoY จากการตั้งสำรองเพิ่มตามหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้นจากการจัดชั้นคุณภาพสินทรัพย์ แต่ดีขึ้น 146% QoQเนื่องจากค่าใช้จ่ายสำรองที่ยังคงน้อยกว่าไตรมาสก่อนมาก สำหรับปี 2550 เราเพิ่มประมาณการตั้งสำรองในปีนี้เป็น 3.0 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 54% YoY ในขณะเดียวกันเราปรับลดประมาณการขยายสินเชื่อเหลือ 5% จาก 7% (เป้า SCIB ที่ 11%) เนื่องจากการจ่ายคืนหนี้และการขยายตัวของสินเชื่อที่ต่ำกว่าเป้า ในปี 2551 เราปรับเพิ่มประมาณการสำรองเป็น 1 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 59% YoY เพื่อให้อัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อของ SCIBเพิ่มเป็น 40 bps จาก 24-25 จุด ดังนั้นเราปรับลดกำไรของ SCIB ลง 20% และ 6%ในปี 2550 และ 2551

บล.กรุงศรีอยุธยาแนะนำถือVNGราคาเป้าหมาย 5.30 บาทAYS ยังคงมุมเดิมต่อ VNG โดยเฉพาะแนวโน้มผลประกอบการปี 50 ที่คาดว่าจะเติบโตในระดับ 22%YoY แต่สำหรับปี 51-52 เริ่มเห็นปัจจัยหนุนการเติบโตมากขึ้น โดย AYS มองการเติบโตในปี 51 ไว้ที่ 14%YoY ส่วนปี 52 มีแนวโน้มว่า VNG จะขยายกำลังการผลิตอีกครั้งแต่ต้องรอความชัดเจนเพราะอยู่ในช่วงของการศึกษา อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มของVNG จะมีลักษณะเติบโตปานกลางอย่างต่อเนื่อง แต่ในแง่ของราคาหุ้นปัจจุบัน ได้ปรับตัวขึ้นมามากกระทั่งเกือบเต็มมูลค่าเมื่อเทียบกับ Fair Price ที่ AYS คำนวณไว้ที่ 5.30 บาท/หุ้น (ประเมินจาก P/E ที่เหมาะสมที่ 8 เท่า ซึ่งกรอบ P/E Band ของการเคลื่อนของราคาหุ้นในช่วง 1-2 ปี) ประกอบกับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield)เริ่มลดสู่ระดับที่ความสนใจปานกลางที่ 5% AYS จัดทำประมาณผลประกอบการ 2Q50 ของVNG คาดการณ์กำไรสุทธิไว้ที่ 221 ล้านบาท (+5%YoY, 15%QoQ) เติบโตในระดับปานกลาง โดยไตรมาสนี้จะได้แรงหนุนจากปริมาณการผลิต MDF ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสายการผลิตส่วนขยาย (กำลังการผลิตส่วนขยายอยู่ที่ 200,000 ลบ.ม./ปี เพิ่มจากเดิมที่ 270,000 ลบ.ม.ต่อปี) เริ่มผลิตได้เต็มที่มากขึ้นจาก 1Q50 ที่ส่วนขยายเดินเครื่อง 50% ก็เริ่มเดินเครื่องได้มากขึ้นเป็น 80% ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์ MDF ยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่ $250-255 /ลบ.ม. (เทียบ 1Q50 ที่ $235/ลบ.ม.) และ ราคาปาร์ติเกิ้ลปรับลดลงแต่ไม่มากนักมาอยู่ที่ $125-135/ ลบ.ม. (เทียบ 1Q50 ที่ $135/ลบ.ม.) ซึ่งทั้งปริมาณขายและราคาขายที่อยู่ในระดับที่ดีคาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่ออัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทให้ขยับขึ้นจาก 32% ใน 1Q50 เป็น 33% ใน 2Q50 เพียงแต่การแข็งค่าของเงินบาท(จากเฉลี่ย 35.1 บาท/US$ ใน 1Q50 มาเป็น 34.7 บาทใน 2Q50 ) คาดว่าจะเป็นปัจจัยลบดึงให้ผลประกอบการเติบโตในระดับที่ไม่มากนัก ซึ่ง VNG มีสัดส่วนการส่งประมาณ40% ของยอดขายรวม

ที่มาข่าวหุ้น[/color:3cd72370f3">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com