May 18, 2024   8:22:18 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > อินเทรนด์ต้องเล่นหลักทรัพย์...วันใดวอลุ่มแฟบต้องรีบเผ่น
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 04/07/2007 @ 19:47:51
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่อยากตกยุคต้องลุยหุ้นหลักทรัพย์ หลังวอลุ่มซื้อขายกระฉูดเหนือ 2 หมื่นล้านบาทต่อวัน นับตั้งแต่เริ่มต้นวันทำการเดือนใหม่ 2-4 ก.ค.50 ชู BLS หุ้นเด่นในกลุ่ม เหตุราคายังถูก ทั้งยังได้รับผลดีจากการทำ Exclusive Partner กับ MSAL

* ดัชนีฯ พุ่ง-วอลุ่มซื้อขายกระฉูด
นักลงทุนถ้าไม่อยากตกยุค ต้องเลือกพิจารณาลงทุนหุ้นหลักทรัพย์ หลังจาก ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายทะลักทะลายเหนือ 2 หมื่นล้านบาท และสูงสุดขยับเหนือ 4 หมื่นล้านบาท
โดยวันที่ 4 กรกฎาคม 2550 ดัชนีฯ ปิดที่ระดับ 825.45 จุด เพิ่มขึ้น 11.93 จุด หรือ 1.47% มูลค่าการซื้อขาย 40,037.60 ล้านบาท

การปรับตัวของดัชนีฯ ได้ปรับเพิ่มขึ้น พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วันทำการของเดือน กรกฎาคม ซึ่งเริ่มจากวันที่ 2 กรกฎาคม ดัชนีฯ ปิดที่ระดับ 792.71 จุด มูลค่าการซื้อขาย 24,188.13 ล้านบาท, วันที่ 3 กรกฎาคม ดัชนีฯ ปิดที่ระดับ 813.52 จุด มูลค่าการซื้อขาย 46,927.82 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวม 3 วันทำการ 16,717.55 ล้านบาท

* เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้า-การเมืองเริ่มนิ่ง
ประเด็นสำคัญของการปรับตัวขึ้นของดัชนีฯ ประเมินว่ามาจากปัจจัยหลักที่สำคัญ คือ เม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะตลาดหุ้นไทยยังคงมี P/E อยู่ในระดับต่ำ ขณะเดียวกันปัจจัยทางการเมือง และภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้นยังเป็นปัจจัยที่ดึงดูดความสนใจของนักลงทุนให้เลือกเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย

ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังช่วยผลักดันให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมๆ กับดันดัชนีฯ ให้เดินหน้าบวกได้ในเวลาเดียวกัน และบรรดาโบรกเกอร์ยังประเมินว่า ปีนี้ดัชนีฯ มีโอกาสได้เห็น 900 จุด ก่อนจะขยับขึ้นแตะ 1,000 จุดได้ในปีหน้า

* หุ้นหลักทรัพย์ดี๊ด๊ารับวอลุ่มพุ่ง
จากวอลุ่มการซื้อขายที่คึกคัก ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นถ้วนหน้า เพราะแน่นอนว่า จะมีรายได้ค่านายหน้าการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดยจะเห็นได้จากดัชนีหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน นับจากปิดเมื่อสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2550 ซึ่งอยู่ที่ 1,013.73 จุด พุ่งต่อเนื่อง 3 วันทำการ สูงสุดที่ระดับ 1,098.99 จุด เพิ่มขึ้น 85.26 จุด หรือ 8.41% ก่อนจะปิดอ่อนตัวลงเล็กน้อยที่ระดับ 1,099.22 จุด

สำหรับราคาหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์เอง ได้ปรับตัวขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่ที่ขึ้นค่อนข้างมาก 3 อันดับแรกของวันที่ 4 กรกฎาคม 2550 คือ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS ซึ่งปิดที่ระดับ 18.80 บาท เพิ่มขึ้น 3.20 บาท คิดเป้น 20.51% มูลค่าการซื้อขาย 733.85 ล้านบาท ตามด้วย บริษัท ฟินันซ่า จำกัด (มหาชน) หรือ FNS ซึ่งปิดที่ระดับ 10.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.90 บาท หรือ 9% มูลค่าการซื้อขาย 48.34 ล้านบาท และบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ซึ่งปิดที่ระดับ 2.36 บาท เพิ่มขึ้น 0.16 บาท หรือ 7.27% มูลค่าการซื้อขาย 133.98 ล้านบาท

สาเหตุที่ BLS ได้รับความนิยมที่สุดในกลุ่มหลักทรัพย์ในวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาหุ้น BLS ยังค่อนข้างถูก เนื่องจากที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นไม่มากนักเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในกลุ่ม ขณะเดียวกัน ยังถูกประเมินว่าจะได้รับผลดีจากแผนการดำเนินธุรกิจใหม่

* ทรีนีตี้ ประเมินวอลุ่มเฉลี่ยครึ่งปีหลังผ่าน 1.8 หมื่นลบ.ได้
บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นชัดเจนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม มูลค่าการซื้อขายรายเฉลี่ยเดือน มิถุนายน 2550 อยู่ที่ 19,567.29 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเดือน พฤษภาคม ซึ่ง อยู่ที่ 15,260.39 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 28.22 % MoM

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2550 ถึงปัจจุบัน มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันยังอยู่ที่ 13,775.40 ล้านบาทต่อวัน เมื่อเทียบกับ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปี 2549 ซึ่งอยู่ที่ 16,214.19 ล้านบาท หากสมมติ Base Case คือให้ทั้งปีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปี 2550 เท่ากับปี 2549 แสดงว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ต้องมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอีกเพียง 18,653 ล้านบาท จะสามารถมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเท่ากับปี 2549 ได้

รวมทั้งในส่วน SET Finance Index ปัจจุบันอยู่ที่ 1,064.09 เมื่อเทียบกับดัชนี SET Finance Index โดยเฉลี่ยของปี 2549 ซึ่งอยู่ที่ 1,069.68 และเมื่อเทียบกับ SET Finance Index ที่สูงที่สุดในปี 2549 ที่ 1,270.52 จะพบว่า SET Finance Index ณ ปัจจุบันต่ำกว่าเพียง 0.52% และ 16.25 % ตามลำดับ

เพราะฉะนั้นจึงไม่ยากนักที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2550 จะสามารถผ่าน 18,925 ล้านบาทไปได้ เนื่องจากสภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะกลับขึ้นมาคึกคักอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง หากไม่มีปัญหาทางการเมืองที่รุนแรง ซึ่งจะเห็นได้จากที่ในปัจจุบัน SET Finance Index ในปัจจุบันต่ำกว่า SET Finance Index โดยเฉลี่ยของปี 2549 เพียงเล็กน้อย

ประกอบกับในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ที่มีข่าวเลื่อนการเลือกตั้งที่เร็วขึ้น รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้นักลงทุนเริ่มมั่นใจ มากขึ้น ต่างชาติยังคงมีการซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อทำให้ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งช่วยเอื้อประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ให้มีความน่าสนใจมากขึ้นตาม ภาวะตลาดขาขึ้น แต่ปัจจัยเสี่ยงยังเป็นเรื่องของความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่ส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนไทย

* ชี้ BLS ดาวเด่น
หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ยังมีความน่าสนใจในช่วงที่นักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น แต่เนื่องจากหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์มีความเสี่ยงตามภาวะตลาดยังคงมีความผันผวนสูง ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเมืองเป็นหลัก ดังนั้นคำแนะนำในการลงทุนของเรายังคงให้ซื้อขายอย่างระมัดระวัง โดยลงทุนในหุ้นหลักทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ

โดยเราแนะนำ BLS เป็น Top Pick เนื่องจาก BLS น่าจะได้ประโยชน์มากกว่าจากการทำ Exclusive Partner กับ MSAL (Morgan Stanley AsiaLimited) ในด้านมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีการลงนามในสัญญาบริการแนะนำลูกค้า (Introduce Agent) กับ BBL ซึ่งอาจจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้แก่ BLS ได้อีก และในช่วงที่นักลงทุนในประเทศเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นน่าจะส่งผลดีต่อ BLS ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้นในเดือนมิถุยายน ที่ 3.9% ซึ่งสูงกว่าในเดือน พฤษภาคม ที่ 2.84%

ซึ่งที่ราคาปัจจุบัน BLS มีการซื้อขายที่ P/BV ที่ประมาณ 2 เท่าซึ่งราคายังถูกมาก เมื่อเทียบกับหุ้นบริษัทหลักทรัพย์อื่นๆ เช่น KEST และ PHATRA ที่มีการซื้อขายอยู่ที่ P/BV ที่ประมาณ 4 และ 3 เท่า ตามลำดับ โดยราคาเป้าหมาย BLS อยู่ที่ 19 บาท

* แอ๊ดคินซัน ชี้ BLS มีแววผลงาน Q2/50 ดีสุดในกลุ่ม
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. แอ๊ดคินซัน เปิดเผยว่า สาเหตุที่ราคาหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS มีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะคาดว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/2550 จะโดดเด่นที่สุดในกลุ่มหลักทรัพย์ นอกจากนี้ที่ผ่านมาราคาหุ้นดังกล่าวยังปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่แรงเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นตัวอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน แต่กลยุทธ์การลงทุนแนะนำขาย หลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมากแล้ว โดยให้แนวต้านไว้ที่ 17.50 บาท และไม่มีแนวรับ เนื่องจากไม่ใช่จังหวะที่เข้าไปซื้อ

"ราคาหุ้นบัวหลวงขึ้นมาแรงแล้วก็เป็นจังหวะที่นักลงทุนจะขาย ซึ่งมีแนวต้านอยู่ที่ 17.50 บาท แนวรับไม่มีเพราะแนะนำขายไม่ใช่ให้เข้าไปรับ ส่วนสาเหตุที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพราะที่ผ่านมาราคาหุ้นบัวหลวงขึ้นน้อยราคาหุ้นยังถูกจึงมีแรงซื้อเข้ามา" นายรณกฤต กล่าว

อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ ยังคงมีลุ้นอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่ดัชนีฯ ยังเดินหน้า พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่คึกคัก สูงกว่า 20,000 ล้านบาทต่อวัน แต่หากวันใดดัชนีฯ ปรับลดลง พร้อมๆ กับการจากไปของเม็ดเงินต่างชาติ เมื่อนั้นนักลงทุนคงต้องรีบปรับพอร์ต และต้องหันมาดูแลหุ้นหลักทรัพย์เป็นกรณีพิเศษ อาจรวมไปถึงการพิจารณาขายหุ้นกลุ่มนี้ออกในที่สุด...


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com