May 5, 2024   4:46:01 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ครึ่งปีแรกหุ้นไทยเด้ง 12%
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 26/06/2007 @ 19:55:54
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

สรุปตัวเลขครึ่งปีแรก ดัชนีเด้ง 12.39% มาร์เก็ตแคปปูด 8.6 แสนล้าน งานนี้พบหุ้นร้อนทั้ง ASIA-TRAF-LIVE-RICH-PT ติดโผหุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุด ส่วน ASL-NEPแม่ลูก-SVI-SAM ร่วงมากสุดหลังแตกพาร์ ด้าน บล.กิมเอ็งยังกอดเก้าอี้แชมป์อันดับ 1 ขณะที่โบรกฯนอกอย่าง CS-UBS-PHATRA เบียด ASP ตกขอบ บล.นครหลวงไทยเพิ่มเป้าหมาย SET INDEX ปีนี้ได้เห็น 830 จุด จากเดิมคาดอยู่ที่ 760-800 จุด หลังการเมืองเริ่มคลี่คลาย มีแนวโน้มเลื่อนการเลือกตั้งเร็วขึ้น ส่วนดัชนีฯวานนี้ร่วงเกือบ 8 จุดรับข่าวทางการจีนอาจสกัดความร้อนแรงเศรษฐกิจอีกรอบ

เหลืออีกเพียง 4 วันทำการก็จะสิ้นสุดสำหรับครึ่งแรกของปี 2550 ซึ่งในสัปดาห์นี้ถึงแม้ว่านักลงทุนจะฝากความหวังกับการทำ Window Dressing แต่ดัชนีฯปิดการซื้อขายวานนี้กลับติดลบไปถึง 7.93 จุด โดยดัชนีฯปิดที่ 764.12 จุด หลังจากที่มีข่าวธนาคารกลางจีน ประกาศว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงมีความคิดเห็นว่าหหลักทรัพย์บางตัวในตลาดหุ้นจีนนั้น ค่อนข้างปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูงเกินควร (over heat) จึงต้องมีมาตรการบางอย่างเพื่อมาชะลอความร้อนแรงทั้งด้านเศรษฐกิจของประเทศ และในตลาดหุ้นด้วย กดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับตัวลดลงถ้วนหน้า อาทิ ดัชนี SHI ตลาดหุ้นจีน ปิดตลาดที่ระดับ 3,941.08 จุด ลดลง 150.36 จุด หรือ -3.68 % ส่วน ดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 21,822.35 จุด ลดลง 177.56 จุด หรือ -0.81 %

ถึงแม้ว่าหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของครึ่งปีแรกจะดูไม่สดใสนัก แต่หากนับจากปลายปีก่อนที่ดัชนีฯปิดการซื้อขายวันที่ 29 ธ.ค. 2549 ที่ระดับ 679.84 จุด มาจนถึงล่าสุดที่ดัชนีฯปิดที่ 764.12 จุด เท่ากับว่าดัชนีฯปรับตัวขึ้น 84.28 จุด หรือ 12.39% ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ปรับตัวขึ้นจาก 5.07 ล้านล้านบาท ในสิ้นปีก่อน เป็น 5.93 ล้านล้านบาท ในวันที่ 22 มิ.ย. 2550 ซึ่งดัชนีฯที่กระเตื้องขึ้นปัจจัยหลักน่าจะมาจากการเมืองที่ลดความร้อนแรงลง โดยกลุ่มผู้ชุมนุมยังไม่มีการปะทะรุนแรง ในขณะที่นายกรัฐมนตรีส่งสัญญาณว่าการเลือกตั้งอาจจะสามารถเลื่อนขึ้นมาเร็วขึ้นเป็นวันที่ 25 พ.ย. 2550 จากเดิมที่กำหนดไว้วันที่ 16 หรือ 23 ธ.ค. 2550 ทำให้ความเชื่อมั่นโดยเฉพาะต่อความไม่แน่นอนทางการเมืองเริ่มกลับมาดีขึ้น ซึ่งหากเก็บสถิติจากต้นปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิไปมากถึง 95,901.68 ล้านบาท ตรงข้ามกับสถาบันที่ขายสุทธิ 17,960.56 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 77,941.12 ล้านบาท

**กิมเอ็ง กอดแชมป์โบรกเกอร์อันดับ 1 ส่วน ASP ถูกโบรกฯนอกเบียดตกขอบ
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงอันดับมาร์เก็ตแชร์ของโบรกเกอร์ที่สูงสุด 10 อันดับ ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา ปรากฎว่า บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ยังครองแชมป์อันดับ 1 ด้วยมาร์เก็ตแชร์ 7.28% ขณะที่ บล.เอเซียพลัส ถูกเบียดตกขอบมาอยู่อันดับ 5 โดยมีโบรกเกอร์ต่างชาติอย่าง บล.เครดิตสวิส (ประเทศไทย) บล.ยูบีเอส (ประเทศไทย) และ บล.ภัทร เบียดขึ้นมาติดอันดับ TOP 5

อันดับ โบรกเกอร์ มาร์เก็ตแชร์
1 KIMENG 7.28
2 CS 6.33
3 UBS 6.06
4 PHATRA 5.99
5 ASP 5.73
6 SCBS 5.63
7 KGI 4.16
8 CLSA 3.94
9 TNS 3.41
10 JPM 3.34

**LIVE-RICH-PT ติดโผหุ้นแจกกำไร นลท.
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงหลักทรัพย์ที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-22 มิ.ย. 2550 ดังนี้

ลำดับที่ หลักทรัพย์ วันก่อนหน้า สูงสุด ต่ำสุด ปิด % การเปลี่ยนแปลง
1 ASIA 4.60 65.50 4.60 51.00 1,008.70
2 TRAF 0.46 2.48 0.42 1.82 295.65
3 LIVE 1.62 5.50 1.15 5.50 239.51
4 RICH 2.02 6.85 1.69 6.70 231.68
5 PT 1.30 6.35 1.12 3.80 192.31

ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

** ASL-NEPแม่ลูก-SVI-SAM ร่วงมากสุดหลังแตกพาร์
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงหลักทรัพย์ที่ราคาปรับตัวลดลงมากที่สุดตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-22 มิ.ย. 2550 ดังนี้

ลำดับที่ หลักทรัพย์ วันก่อนหน้า สูงสุด ต่ำสุด ปิด % การเปลี่ยนแปลง
11 ASL 7.25 8.75 0.64 0.74 -89.79
12 NEP 7.95 10.10 0.78 0.86 -89.18
13 NEP-W1 3.48 5.00 0.35 0.43 -87.64
14 SVI 11.00 13.50 1.23 1.47 -86.64
16 SAM 23.40 20.90 2.60 5.70 -75.64

หมายเหตุ ทั้ง 5 หลักทรัพย์มีการแตกพาร์
ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

**บล.นครหลวงไทย ปรับเป้าดัชนีฯปีนี้แตะ 830 จุด
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการปรับเป้าหมายดัชนีฯ ในสิ้นปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 830 จุด จากเดิมประเมินไว้ที่ 760-800 จุด ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เชื่อว่าจะมีการเลือกตั้ง ทำให้สถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจดีขึ้น และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ลงทุนจะฟื้นตัว ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในประเทศยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำในครึ่งปีหลังปีนี้ ต่อเนื่องถึงปี 51 ถึงแม้อัตราเงินเฟ้อจะมีการปรับตัวขึ้น โดยคาดว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยปีนี้จะไม่เกิน 2.5% โดยได้มีการปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ขยายตัว 3% จากประมาณการว่าจะติดลบ 1%

ตลาดหุ้นไทยมองเป็น 2 มุม ก็คือ Fund flow ต่างประเทศยังไหลเข้ามาตลาดในเอเชีย ซึ่งล่าสุด Fund manager ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาดเอเซีย โดยเม็ดเงินที่มาจากการทำกำไรน้ำมันที่ผ่านมามีถึง 500,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่ง 300,000 อยู่ในสหรัฐฯ ที่เหลือไหลเข้ามาในตลาดเอเชียและยุโรป และการเมืองในประเทศจะส่งผลกระทบกับนักลงทุน แต่นักลงทุนต่างชาติยังคงจะซื้ออยู่ เพราะไม่ได้มองในระยะสั้น นายสุกิจ กล่าว
ทั้งนี้แนะนำลงทุนในหุ้นที่ปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับภาวะตลาดฯ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และหลักทรัพย์

ด้านนายสาธิต วรรณศิลปิน รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์สิ้นปีนี้อยู่ที่ 1.54% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 0.86% ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 1.1% และภายใน 2-3 ปีข้างหน้าคาดว่ามาร์เก็ตแชร์จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2.54% ทั้งนี้เป็นผลมาจากการขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และมีทีมงานใหม่เข้ามาเสริม

โดยปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าทั้งหมด 5,600 บัญชี ซึ่งมีบัญชีที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอ 27% ทั้งนี้จำนวนบัญชีดังกล่าวแบ่งเป็นลูกค้าของธนาคารนครหลวงไทย 600 บัญชี และมีการซื้อขายอย่างสม่ำเสมอ 300 ล้านบาท/วัน ซึ่งเป้าหมายหลักในอนาคตฐานลูกค้าของบล.นครหลวงไทย จะมาจากลูกค้าของธนาคาร 50% โดยจะเป็นในส่วนของลูกค้าเงินออมของธนาคารที่บริษัทจะเข้าไปสร้างความรู้ความเข้าใจการลงทุนในตลาดทุน รวมถึงลูกค้าองค์กรด้วย

อย่างไรก็ดี บริษัทได้มีการเปิดสาขาเต็มรูปแบบ (Full Branch) ซึ่งสาขาแรกที่ถนนมนตรี จ.ภูเก็ต และตั้งเป้าว่าภายในไตรมาส 3 จะเปิดให้ครบทั้ง 5 สาขา แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวก็ตาม เพราะต้องการรองรับการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นในอนาคต โดยเม็ดเงินลงทุนของสาขา Full Branch จะอยู่ที่ 3.5 แสนบาท/สาขา ซึ่งหากมีมูลค่าการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ 7 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท ก็ถือว่าถึงจุดคุ้มทุนแล้ว

ขณะเดียวกันตั้งเป้าว่าสาขาที่ภูเก็ตในเดือนก.ค. จะมีปริมาณการซื้อขาย 30 ล้านบาท/เดือน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้านบาทในอีก 5-6 เดือนข้างหน้า จากการที่มีการสร้างฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันตั้งเป้าว่าหากสามารถเปิด Full Branch ครบทั้ง 5 สาขา จะมีปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ 100 ล้านบาท/เดือน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 250 ล้านบาท/เดือนในปี 2551

เขากล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทสามารถพัฒนาระบบและเปิดบัญชีให้กับลูกค้าได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง ซึ่งปกติจะต้องใช้เวลา 3-7 วัน โดยจะเป็นการสั่งข้อมูลแบบออนไลน์ไปยังสำนักงานใหญ่

**เคทีบี-เกียรตินาคิน ฝากความหวังที่การเลือกตั้งดันดัชนีฯ 800 จุด
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี เปิดเผยว่าแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2550 ยังคงมีโอกาสทรงตัวไม่น่าจะแตกต่างจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมามากนัก เนื่องจากในขณะนี้นักลงทุนยังคงรอความชัดเจนเกี่ยวกับปัจจัยทางการเมือง ซึ่งหากมีความชัดเจนหรือมีการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้คาดว่า SET Index มีสิทธิปรับเพิ่มขึ้นทะลุแนวต้าน 800 จุด แต่ถ้าหากการเลือกตั้งยังไม่เกิดขึ้นประเมิน SET Index ปีนี้ไว้ที่ 780-790 จุด

อย่างไรก็ตามแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ล้วนเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม เพราะอาจจะมีอิทธิพลชี้นำการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าวแนะนำเลือกซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง และปิโตรเคมี เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีและเหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว

" ปัจจัยเดียวที่นักลงทุนรอคอยอยู่ก็คือการเลือกตั้งถ้าเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ตลาดหุ้นไทยก็คงจะคึกคักรับข่าวดีและปรับเพิ่มขึ้นได้ แต่ช่วงนี้นักลงทุนก็สามารถซื้อสะสมหุ้นในกลุ่มแบง์ อสังหาฯ พลังงาน ปิโตรฯ ได้ " นางสาวสุภากร กล่าว

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยประเมินว่าดัชนีฯน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 780-800 จุดได้ ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยเรื่องทางการเมือง ซึ่งเป็นปัจจยที่คอยกดดันตลาดฯอยู่ น่าจะมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ที่หลายฝ่ายเชื่อว่าจะต้องมีการจัดการเลือกตั้งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขณะที่ในไตรมาส 3 เรื่องทางการเมืองอาจจะมีความผันผวนอยู่บ้าง จากการที่ยังคงมีประเด็นที่ต้องติดตามคือ เรื่องการร่างประชาชมติ แต่อย่างไรก็ตาม ทาง บล.เกียรตินาคิน มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างแน่นอน

กลยุทธ์การลงทุน ให้รอตั้งรับ ในหุ้นกลุ่ม ธนาคารพณิชย์ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มเคมีภัณฑ์ รวมถึงให้เลือกซื้อเป็นรายตัวในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง รวมถึงกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มสื่อสารที่มีปันผลดี


:lol:

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com