May 6, 2024   2:15:43 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หลุมหลบภัยของจริง 22 June 2007
 

neoeasy
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 80
วันที่: 22/06/2007 @ 08:47:11
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

หลังจากที่ Swing trader อย่างผมล้าง port เพื่อความสะใจไป 19 June 2007 ก็พักร้อน 20 June 2007 มาดู เช้า 21 June 2007 ตัวที่หมูไปก็ยิ่งหมูหนักกว่าเดิมตามคาด เปิดดู port กะจะดู หน้าจอโล่งๆ ดันมี DTAC โผล่มาอีก ขายก็ขายไม่ได้ เลยตัดสินใจหาตัวซื้อเพิ่มเลยดีกว่า ว่าแล้วก็รับ STEC 6.4 IRPC 6.1 MCOT 34 มาเรียบร้อย ก่อนไปกินข้าวเที่ยง เห็น STEC ไล่มา 4 ช่อง เลยขาย STEC 6.55 ไปเลย เล่นหุ้นได้สนุกและมึนจริงๆ

22 June 2007 จะ Happy ยังไง แต่ตัวตลาดคงฝืน Volatile Index Indicator ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ส่วนตัวคิดว่าใครมีหุ้นที่กะจะเล่นรอบอยู่ก็ปล่อยไปก่อนดีกว่าแล้วรอซื้อใหม่ได้ถูกลง 22 June 2007 ไม่มีหุ้นเด่นแนะนำซื้อครับ ผมเองคงขาย IRPC ออกไปก่อนหลังจากที่พึ่งซื้อมา 21 June 2007

หลังจากคุยเรื่อง LTF มาหลายครั้ง เดือนนี้มีกองใหม่ๆ มา IPO เยอะจริงๆ ถึง 17 กองแหนะ ซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ว่า 30 June 2007 จะเป็น วันสุดท้ายที่จะมีการจดทะเบียนกองทุนหุ้นระยะยาว และก็จะมี LTF ให้เราได้ลดภาษีกันอย่างเพลิดเพลินถึงปี 2016 หรืออีก 10 ปีกันทีเดียว โดยไอ้ 17 กองที่ออกมาใหม่นี้ มีอยู่ 4 กอง จะใช้ SET50 index Future มา ลดความเสี่ยงจากการผันผวนของตลาดด้วย

มาอธิบายง่ายๆสั้นๆ กันนิดนึง ว่ากองทุนนี้ความเสี่ยงและผลตอบแทนมากน้อยกว่าปกติยังไง คือปกติ LTF นั้นต้องลงทุนในหุ้นไม่ต่ำกว่า 65% กองทุนอยู่แล้ว ดังนั้นพูดง่ายๆก็คือต้องถือหุ้นอยู่ตลอดเวลาในจำนวนที่ว่า ดังนันถ้าหุ้นตัวที่ซื้อไว้มันขึ้นเราก็กำไรอื้อซ่า แต่เกิดมันลงขึ้นมาไม่ว่าจะจากการที่ผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นผิดตัว หรือ จากที่ตลาดผันผวนจากข้อมูลต่างๆแล้วพาลกันลงทั้งตลาดก็ตาม เราก็ขาดทุนครับ

ส่วนการใช้ SET50 Index Future ในซีรี่ร์ต่างๆมาช่วยลดความเสี่ยงจากการผันผวนของตลาดก็เพราะ ข้อแรก SET50 เป็นดัชนีที่มี Market cap สูง จึงแทนตลาดส่วนใหญ่ได้แล้ว และข้อสำคัญ อนุพันธ์ในไทยตอนนี้ก็มี product ตัวเดียวนี่แหละ

เมื่อผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นได้แล้ว ก็จะซื้อหุ้นตัวนั้นโดยหวังว่าหุ้นตัวนั้นจะขึ้น (ก็เหมือนกับ LTF ธรรมดา) แต่จะแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปเปิดสถานะ Short หรือง่ายๆ ว่า ขายล่วงหน้า SET 50 Index Future ที่ว่าตามระยะการลงทุนที่กะไว้ (วิธีคิด สัดส่วนว่าซื้อหุ้นเท่าไหร่แล้วจะ Short เท่าไหร่ ก็คำนวนโดยใช้ค่า Beta หรือความสัมพันธ์ของหุ้นตัวนั้นกับSET50)

ตัวอย่างคร่าวๆเช่นหุ้นยอดนิยม PTT มีค่า Beta กับ SET50 index ในช่วงเวลา 200 วันหลังสุดนี้ เป็น 1.14 เราก็ตั้งสมมุติฐานว่า ถ้า SET50 index ขึ้น 1% PTT ก็จะขึ้น 1.14 %

ถ้าความสัมพันธ์ยังเป็นไปแบบเดิม แล้วผู้จัดการกองทุนซื้อหุ้น PTT 10,000,000 บาท แล้วเปิดสถานะ Short(ขาย) SET50 index future ไว้ 1.14 ล้านบาท (Future ใช้เงินลงทุนต่ำเพียง 10%)

ลองคิดกรณีเลวร้ายสมมุติเดือนเดียวตลาดและ SET50 index ลงไป 50% (แล้วPTT ก็ลงด้วย) แต่ลงด้วยสัดส่วนที่เราคาดไว้ (Beta) เราก็ไม่ขาดทุน เย้(แต่ก็ไม่กำไร) เพราะขาดทุน PTT แต่กำไรอนุพันธ์

กรณี SET50 index ขึ้น (แล้วPTT ก็ขึ้นด้วย) แต่ก็ขึ้นด้วยสัดส่วนที่เราคาดไว้ เราก็ไม่ขาดทุน(แต่ก็ไม่กำไรอีกแล้ว)
เพราะแม้เราจะกำไร PTT แต่ก็ไปขาดทุนอนุพันธ์

โอกาสกำไรก็มี เช่นset50 ขึ้นแต่ หุ้นที่ซื้อไว้ ขึ้นเป็นสัดส่วนมากกว่าค่า Beta ที่เราคำนวนไว้ หรือเวลาหุ้นลง หุ้นที่เราซื้อไว้ก็ลงน้อยกว่าสัดส่วนค่า Beta ที่เราอ้างอิงไว้นั่นเอง (แต่ถ้าในทางกลับกันก็ขาดทุนนะ)

โดยภาวะปกติกองทุนจะลงทุนในหุ้นไม่ต่ำกว่า 40 ตัวอยู่แล้วก็ยิ่งกระจายความเสี่ยงเข้าไปอีก

สรุปซึ่งกองทุนแบบนี้ปกติมักจะได้กำไรหรือขาดทุน น้อยกว่า LTF ปกตินั่นเอง จะว่าไปก็เหมาะสำหรับตลาดขาลงหรือเราคิดว่าหุ้นตอนนี้แพงเกินไปแล้ว และเราก็ยังรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็มๆ

ตัวอย่าง 2 กองที่ IPO ไปแล้วก็คือ ของ SCB กอง SCBLST และ ของ บลจ.วรรณ กอง 1SMART LTF ครับ

สอบถามข้อมูลการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่ Thammada.com@hotmail.com

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com