May 5, 2024   7:53:13 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 21/06/2007 @ 11:11:38
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.ยูไนเต็ดแนะนำซื้อVNGราคาเป้าหมาย 5.60 บาทใน 2Q07 ยังคาดว่ารายได้ยังเติบโตจากปริมาณขายไม้ MDF ที่เพิ่มขึ้น(กำลังการผลิตใหม่)โดยชดเชยที่ราคาไม้ MDF ที่ทรงตัว 235 - 260 $/ลบม. และในส่วนราคาไม้ PB ยังทรงตัว 135-140 $/ลบม. เนื่องจากโรงงานที่อินโดนีเซียขาดแคลนวัตถุดิบ(ภาครัฐออกกฎหมายควบคุมการตัดไม้) จึงทำให้กำลังการผลิตหายเกือบ 40% และแนวโน้มราคาไม้ PBในปลายปีนี้ คาดว่าไม่น่าจะผันผวนมากนัก แต่สำหรับราคาไม้ MDF อาจจะปรับลดลงเล็กน้อยจากกำลังผลิตใหม่ของผู้ผลิตในไทย 1 ราย ส่งผลให้ทาง VNG ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้น 20% YoY อยู่ในระดับ 8,000 ล้านบาท และพยายามรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นที่ 30%-35%?? ผลกระทบ : คาดว่ารายได้จากการขายใน 2Q07 เพิ่มขึ้น 14%YoY และ 3.6%QoQ โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับ 32% เนื่องจากต้นทุนไม้ยางพารายังไม่ปรับตัวขึ้น และใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และคาดว่ามีกำไรเท่ากับ 206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% QoQ และใกล้เคียงช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ทำให้แนวโน้มทั้งปี 07 คาดว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้น 17%YoYในปัจจุบัน VNG ซื้อขายกัน ณ ระดับ P/E เท่ากับ 7.6x ของกำไรต่อหุ้นปี 07 เราประเมินราคาเป้าหมายโดยอิงจากค่า P/Eที่ระดับ 8-9x มาจากสองวิธี คือ 1) ความสัมพันธ์ของอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิในอดีตของ VNG กับ P/E Ratio และ 2) ความสัมพันธ์ระหว่าง ROEและ P/E Ratio ของบริษัทในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง(ไม่มีกลุ่มเหล็ก)ในปี07 ซึ่งจะได้ราคาเป้าหมาย 5.6บาท/หุ้น มี Upside gain 15% และอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 6%

บล.บัวหลวงแนะนำขายPHATRAราคาเป้าหมาย N/A บาทกำไรปี 2250 ลดลง 7% ภายใต้อัตราใหม่: อัตราค่าคอมมิชชั่นใหม่กระตุ้นให้เราปรับลดประมาณการกำไรในปี 2550 ลง 7% จาก 633 ล้านบาทมาอยู่ที่ 586 ล้านบาท นอกจากนี้เรายังปรับลดประมาณการกำไรสำหรับปี 2551 ลง 15% มาอยู่ที่ 547 ล้านบาทยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ที่ 6%: อัตราค่าคอมมิชชั่นใหม่ยังคงเปิดโอกาสให้ PHATRAเข้าถึงฐานลูกค้าทั่วโลกของ ML ได้ เราคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ไว้ได้ที่ 6% ในปี 2550-2551มีดีล IB ขนาดใหญ่รออยู่ 3 ดีล:บริษัทยังมีดีลการเป็นผู้รับประกันการจำหน่ายและที่ปรึกษาการเงินหุ้นขนาดใหญ่อยู่ 3 ดีลนั่นคือ การปรับโครงสร้างเงินทุนของ TMB และการออกหุ้น IPO ของบริษัท StarRefinery และ BTS การเป็นผู้รับประกันการจำหน่ายหุ้นและที่ปรึกษาทางการเงินนั้นไม่เพียงแต่สร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมให้แก่บริษัทแต่ยังช่วยส่งเสริมการลงทุนทางตรง:PHATRA วางแผนที่จะเพิ่มขนาดพอร์ตการลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทจาก 700 ล้านบาทมาเป็น 1 พันล้านบาทในไตรมาส 2/50 โดยบริษัทรับรู้กำไรจากการลงทุนที่ 40 ล้านบาทในไตรมาส 1/50 และยังได้บันทึกกำไรที่ยังไม่รับรู้อีก 160 ล้านบาทอัตราค่าคอมมิชชั่นกับบริษัท ML ที่ลดลงนั้นเป็นสาเหตุให้เราปรับลดประมาณการกำไรของ PHATRAในปี 2550 ลง 7% มาอยู่ที่ 586 ล้านบาทและ 15% สำหรับปี 2551มาอยู่ที่ 547 ล้านบาทภายใต้สมมุติฐานที่ PHATRA ยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ไว้ได้ที่ 6% สำหรับทั้ง 2 ปี โดยมีการสนับสนุนที่มั่นคงจาก ML ดังนั้น เราจึงปรับลดคำแนะนำสำหรับ PHATRA จากถือเป็นขาย

บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อOISHIราคาเป้าหมาย 27.50 บาทภายหลังจากความวุ่นวายในปี 2549 กับบมจ.โออิช กรุ๊ป (OISHI) เราคาดว่ายอดขายชาเขียวจะฟื้นตัวกลับในปี 2550 นี้ เนื่องจากความคลี่คลายลงในคดีเรื่องภาษีสรรพสามิต ในปีที่ผ่านมา ในขณะที่ความต้องการเริ่มดีขึ้น ในปัจจุบัน OISHI มีอัตราการผลิตชาเขียวอยู่เพียง 45-50% และมียอดการผลิตอยู่ประมาณ 20 ล้านขวด/เดือน ความต้องการที่เพิ่มขึ้น คาดว่าจะส่งผลให้อัตราการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 55% ในปีนี้ โดยคาดว่ายอดขายโดยรวมจะเติบโต 3% จากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นในปีนี้จะช่วยทำให้อัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิให้สูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะออกมาที่ 34.2% จาก 33.7% ในปีที่แล้ว ทาง OISHI มีแผนที่จะปรับลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาลง ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงในปีนี้ ในขณะที่กำไรสุทธิคาดว่าจะเติบโตถึง 99% เป็น 376 ล้านบาท (กำไรสุทธิ/หุ้นที่ 2.01 บาท)ทาง OISHI จะไม่จำเป็นที่ต้องขยายโรงงานผลิตชาเขียวในปีนี้ เนื่องจากอัตราการผลิตยังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนทางธุรกิจด้านอาหาร ทางบริษัทจะยังคงทำการขยายสาขาร้านอาหารที่ 10 สาขา/ปี ซึ่งจะทำให้จำนวนร้านอาหารในปีนี้มีทั้งหมด 95 สาขา จากการลงทุนที่ต่ำหรือประมาณ 100 ล้านบาท เราคาดว่าการจ่ายดอกเบี้ยจะลดลง 28% จากปีก่อนในขณะที่อัตราหนี้สินต่อทุน คาดว่าจะยังคงเป็นเงินสดภายในสิ้นปีนี้หุ้น OISHI ได้ปรับลดลงมาอยู่จุดต่ำสุดของปี 2550 ที่ 16.60 บาท/หุ้น และดีดตัวกลับมาปิดที่ 19.00 บาท ซึ่งที่ราคานี้มี PER ปี 2550 ที่ 9.5 เท่า EV/EBIDA ที่ 5.3 เท่า และ P/BV ที่ 1.7 เท่า ส่วนราคาเหมาะสมโดยวิธีคิดลดกระแสเงินสดอยู่ที่ 27.50 บาท/หุ้น ซึ่งมีส่วนต่างอยู่สูงถึง 45%เราจึงกลับมาให้คำแนะนำ OISHI "ซื้อ"

บล.เกียรตินาคินแนะนำซื้อSTECราคาที่เหมาะสม 7.05 บาทปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 23,506 ล้านบาท งานหลักยังคงมาจากโครงการ Airport Rail Link(ARL) สัดส่วน 30% งานศูนย์ราชการ สัดส่วน 23% และงานโรงไฟฟ้า 21% โดยมีงานรอการเซ็นสัญญา อีก 1 โครงการคือ โครงการ WaterSupply System ,Nakorn Ratchasrima 2,184 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทราบผลในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า ปี 50 บริษัทคาดรับงานประมูลได้ไม่ต่ำกว่า 8,000ล้านบาทโดยบริษัทมีความสามารถในการรับงาน Capacity ที่ประมาณ 20,000-30,000ตัน/ปี คาดมีแนวโน้มเติบโตจากการรับงานในต่างประเทศ แถบตะวันออกกลางเนื่องจากประเทศในบริเวณดังกล่าวอยู่ในช่วงพัฒนาทางด้านสาธารณูปโภค เช่นที่ประเทศการ์ต้า และมัลดิฟ และงานโครงการก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีที่ต่างประเทศ 1 แห่งคาดว่าจะทราบผลชัดเจนในช่วง 3Q50-4Q50 รวมถึงงานในประเทศสิงคโปร์ (บริษัท Exxon Chemical)จะทราบผลในช่วง 3Q50 เช่นกัน จุดเด่นจากความชำนาญการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและโรงงานปิโตรเคมี คาดบริษัทได้รับอนิสงฆ์จากหลังจากการประมูล โรงไฟฟ้า IPP ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 50 ซึ่งคาดว่าถ้าบริษัทได้รับงานจะทำให้มีงานต่อเนื่องในปลายปี 51จากกกฝผ. ที่อยู่ระหว่าง Bidding ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า คาดเป็นปัจจัยบวกต่อการรับงานของ บริษัทในอนาคต เนื่องจากบริษัทมีความชำนาญ เห็นได้จากการรับงานโรงไฟฟ้าที่ต่อเนื่องเช่นโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี 2 โรง (,โรงไฟฟ้าแก่งคอย , โรงไฟฟ้าสงขลาเป็นประวัติในการทำงานที่ดี โดยคาดหมายการรับงานดังกล่าวจะช่วยให้มีงานในมือเพิ่มขึ้นหลังโครงการเก่าก่อสร้างแล้วเสร็จ รวมถึงส่งผลดีต่อผลประกอบการเนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้า และปิโตรเคมี มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีเฉลี่ยระหว่าง 10-15% คาดผลประกอบการ 2Q50 บริษัทมีกำไรสุทธิ 57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83% QoQ - รายได้จากการก่อสร้างและบริการ 4,210 ล้านบาท ลดลง 1%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 18%YoY หลักๆมาจากโครงการ ARLงานโรงไฟฟ้า งานศูนย์ราชการ และจากงานอื่นๆ และโรงงานปิโตรเคมี - อัตรากำไรขั้นต้น3.9%เพิ่มขึ้นพอควรเนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากงานโรงไฟฟ้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ค่อนข้างดีประมาณ 10% แนวโน้มปี 50 คาดหวังงานเอกชนจากโรงไฟฟ้าและโรงปิโตรเคมีช่วยปรับระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้ดีขึ้น รวมถึงมีปัจจัยบวกจากการประมูลรถไฟฟ้า 3 สายคาดว่าจะมีรายได้จากการก่อสร้างและบริการ 15,442 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีรายได้จากโครงการ ARL 4,000 ล้านบาท โครงการจากโรงไฟฟ้า 3,800 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 335 ล้านบาท EPS 0.28 บาทต่อหุ้น ราคาที่เหมาะสม 7.05 บาท อ้างอิงAPER 25 เท่า มี Upside gain

ที่มา ข่าวหุ้น [/color:50587ff701">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com