ทันที่ข่าวประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นแค่เพียงข่าวลือ ข่าวเม้าท์ และข่าวลวง ที่มาจากลมปากพวกนักการเมือง ดัชนีก็เด้งกลับขึ้นมาถึง 8.33 จุด ก่อนจะมาปิดยังที่ 734.93 จุดท่ามกลางวอลุ่มเบาบาง "โมนิก้า" ก็รู้ได้ทันทีว่า "แค่รีบาวนด์" หลังจากดัชนีร่วงลงหนักติดต่อกันมาหลายวัน ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ปกติที่พบเห็นได้เป็นประจำนะจะบอกให้

*"โมนิก้า" ถึงไม่รู้สึกดีใจเหมือนกับคนอื่นๆ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคราวนี้ บ่งบอกให้รู้ว่าตลาดหุ้นไทยเปราะบาง และขาดภูมิคุ้มกันชั้นยอดเป็นเกราะกำบัง ดัชนีถึงได้ผันผวนหนักเหลือเกิน จนเดี๊ยนต้องเอ่ยปากให้นักลงทุนชลอการลงทุน และหลบลี้ออกจากตลาดหุ้นเป็นการชั่วคราวนะค่ะ

*เนื่องจากภาพรวมของตลาดหุ้นตอนนี้ดูแย่มากๆ ส่งผลให้การเข้าซื้อหุ้นช่วงดีดตัวแรงๆเป็นการเพิ่มความเสี่ยงจากการลงทุนโดยไม่มีเหตุจำเป็น สู้อดใจรอไว้ซื้อหุ้นถูกๆ ในช่วงที่ดัชนีปรับตัวลงแรงจะคุ้มกว่าหลายเท่า...โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภคพื้นฐาน "โมนิก้า" ขอแนะนำให้เก็บเข้าไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะจ๊ะ

*โดยเฉพาะเจ้าประจำอย่าง PTT PTTEP TOP และ RRC ไม่มีเหตุจำเป็นต้องเทขายหุ้นทิ้งตามกระแสเลยพับผ่าซิ เพราะของมันเห็นกันแจ่มแจ้งแดงแจ๋ว่า ผลกระทบทางการเมืองที่ทำให้ราคาหุ้นร่วงหล่นระเนระนาดเป็นเพียงระยะสั้นๆ และไม่ได้ทำให้ผลประกอบการของบริษัทถดถอยจนรับไม่ได้นะจะบอกให้

*ยกเว้นกรณีที่ PTT ถูกถอดถอนออจากตลาดหุ้น อันนี้ก็ต้องตัวใครตัวมันแล้วหล่ะเพราะอย่าลืมว่า มาร์เก็ตแค็ปหุ้นในกลุ่ม ปตท. คิดเป็น 30% ของมูลค่าตลาดโดยรวม และหากกลุ่มนี้โดนถอนออกจากตลาดหุ้นจริง คงเป็นหายนะครั้งใหญ่ของตลาดหุ้นไทยเชียวแหล่ะ

*ส่วนคนที่ซวยซ้ำสองคงหนีไม่พ้น เจ๊หนุ่ยตาคม อีกตามเคย เพราะหมดโอกาสไปดึงนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย พร้อมทั้งปิดโอกาสบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นทันที...นายแบงก์ก็เลยกลายร่างเป็นเสือนอนกินอีกครั้งเพราะบริษัทต่างๆ ต้องกระเสือกกระสนมากู้เงินไงหล่ะ

*ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ตัวเลขหุ้นไอพีโอ 6 เดือนแรกปี 2550 มีแค่ 5 ราย(รวม DTACแล้ว) โดยเป็นหุ้นในตลาด mai 2 ตัว ส่วนที่เหลืออีก 3 ตัวเป็นหุ้นใน SET และว่ากันว่าDTAC คงเป็นหุ้นใหญ่สุดที่มีการระดมทุน แสดงว่าครึ่งปีหลังแทบไม่มีหุ้นใหม่เข้ามาจดทะเบียนเลยนะเนี่ย

*แย่ไปกว่านั้นก็คือ เป้าหุ้น IPO ของ SET และ mai คาดว่าจะมีมากถึง 64 รายเอาเข้าจริงกลับยังไม่ถึงครึ่งทางแบบนี้...เจ๊หนุ่ยคงปวดกบาลไปอีกนานหลายวันเลยทีเดียวเผลอๆ อาจมีการปรับลดเป้าในเร็วๆ อีกต่างหากก็เป็นไปได้นะจ๊ะ

*แถมมาเจอข่าว S&P ปรับลดน้ำหนักตราสารหนี้กึ่งทุนของ TMB จาก "BB"ลงมาเหลือแค่ "B" และมีแนวโน้มจะปรับลดลงอีกแบบนี้ ย่อมทำให้ภาพพจน์กลุ่มแบงก็ดูไม่ดีลงไปอีก เพราะที่ผ่านมาก็ย่ำแย่เกินจะพรรณาได้ และยังมาเจอข่าวนี้อีกเข้าจังเบ้อเร่อแผนเพิ่มทุนมิต้องพับเก็บใส่ลิ้นชัก และรอวันปิดตัวอย่างเป็นทางการดอกหรือ

*"โมนิก้า" มองว่าเรื่องดังกล่าวคงเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ไปอีกหลายวันเพราะเรื่องดังกล่าวกระทบกระเทือนต่อเงินคงคลังของประเทศอย่างแรง และยังทำให้ธนาคารเล็กๆ หลายแห่งกระเทือนซางไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ หลังเห็นกันจะๆ ว่า ธนาคารขนาดเล็กรอวันถูกเทคโอเว่อร์อย่างเดียว

*เช่นเดียวกับ BT ต่อให้มีพันธมิตรใหม่เข้ามาอีกหลายราย "โมนิก้า" ก็ไม่เชื่อว่าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เพราะตัวเทียบวัดที่บอกว่าธนาคารแห่งนี้มั่นคงแข็งแกร่งอยู่ที่ "เงินในกระเป๋าหนาแค่ไหน" เดี๊ยนถึงใช้พื้นที่ตรงนี้ฝากบอกไปยังธนาคารขนาดเล็กอื่นๆ ไปในคราวเดียวกันนะค่ะ

*ด้านหุ้น ACL ที่มีข่าวลือว่าจะมีนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาซื้อหุ้นต่อจาก BBL ในราคาบวกลบที่ 8 บาท นั้น "โมนิก้า"เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงคะ เพราะเมื่อดูมูลค่าทางบัญชีของบริษัทแล้วอยู่ที่ระดับ 7.51 บาท เห็นได้ชัดว่าราคาหุ้นยังมีสิทธิวิ่งไปต่อได้อีกคะ

*ใครที่ยังไม่มี หรืออยากได้ก็ให้หาจังหวะเข้าลงทุนได้นะคะ เพราะราคาหุ้นในปัจจุบันตอนนี้บอกได้เลยว่าราคาหุ้นมีสิทธิวิ่งต่อคะ แต่ต้องอยู่ภายใต้ว่าตลาดหลักทรัพย์ฯต้องไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถ้าหากตรวจสอบได้ว่ามีการอินไซด์จริง ราคาหุ้นอาจจะร่วงได้จ๊ะและตราบใดที่ราคาซื้อหุ้นล็อตใหญ่ยังอยู่ในระดับเหนือกว่าราคาหุ้นในกระดานแบบนี้คงไม่ต้องสงสัยคะว่าหุ้นจะวิ่งไปทางใด เพราะราคาบุ๊คมันชี้นำอยู่แล้ว ราคาหุ้นปิดที่ 5.15บาท เสมอตัวคะ

*สุดท้ายขอชี้แจงตรงนี้นิดนึงว่า คุณวิบูลย์ เพิ่มอารยวงศ์ ที่ย้ายจากบล.กรุงศรีอยุธยาไป บล.สินเอเซีย นั้น ได้ย้ายไปนานถึง 2 ปีครึ่งแล้ว ซึ่งก็เป็นลักษณะที่อำลาจากกันด้วยดีคะไม่ได้มีเรื่องอะไรติดใจ แถมยังมีการเซ็นสัญญาถูกต้องตามหลักของการย้ายงานของคนโบรกเกอร์ด้วย ส่วนข่าวลือต่างๆ ที่นอกเหนือจากนี้ไม่จริงคะ