May 19, 2024   3:33:30 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 13/06/2007 @ 09:18:52
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.นครหลวงไทยแนะนำซื้อSPPTราคาเป้าหมาย 4.91บาทหลังเลื่อนการขายเครื่องจักรแปรรูปขยะพลาสติกโพลีเมอร์เป็นน้ำมันดิบ ตั้งแต่ปลายปี 2549ที่ผ่านมา ในที่สุดกลางเดือนนี้ SPPE (บริษัทย่อยของ SPPT) จะลงนามเซ็นต์สัญญาขายเครื่องแรก 50 ล้านบาท เนื่องจากกระทรวงพลังงานได้กำหนดให้เครื่องจักรดังกล่าวเป็นโครงการนำร่องเพื่อแก้ไขปัญหาพลังงาน และ SCIBS คาดว่าจะเห็นการขายเครื่องที่2 ตามมาภายใน 2H/50 นี้อย่างแน่นอน รวมถึงรายได้ที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นตัวเร่งปฎิกิริยาและโลจิสติกส์ ในการนำน้ำมันดิบที่ได้ไปส่งยังโรงกลั่นของ BCP และ PTTซึ่ง SCIBS ประเมินรายได้จากธุรกิจส่วนนี้ราว 145 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 18% ของรายได้ปี 2550 ผลการดำเนินงานจากธุรกิจหลักใน Q2/50 ของ SPPT คาดว่าจะชะลอตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่จะทรงตัวใกล้เคียงกับ Q1/50 ที่มีกำไรสุทธิ 34 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่ภาวะ Low Season แต่ด้วยประเด็นดังกล่าว SCIBSประเมินกำไรสุทธิเบื้องต้นของ Q2/50 จะอยู่ที่ 38-41 ล้านบาท เติบโต 7-15% yoyหรือ 13-22% qoq จากแผนการขยายกำลังการผลิตของ SPPT อีก 25% เป็น 250ล้านชิ้น/ปี ด้วยการย้ายโรงงานไปยังนิคมอุตสาหกรรมอินทรา จ.สิงห์บุรี ได้เสร็จสิ้นในเดือนเม.ย.2550 และเริ่มผลิตตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค.2550 ที่ผ่านมา และได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI เนื่องจากเป็นเขต 3 ซึ่งจะทำให้ SPPT ลดภาระภาษีลงจากเดิมที่ต้องจ่ายภาษีเต็มตั้งแต่เดือนมี.ค.2548 SCIBS คาดว่ากำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะรองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2H/50 จากลูกค้าเก่าอย่าง Seagate (ผ่าน Mini Bear) และลูกค้าใหม่ในกลุ่ม Consumer Electronics ด้วยแนวโน้มผลการดำเนินงานใน Q2/50 ที่ขยายตัวจากธุรกิจใหม่ ขณะที่สถานะทางการเงินของ SPPT เป็น Net Cash Companyแม้ว่าจะใช้เงินลงทุนในปีนี้ถึง 150 ล้านบาทสำหรับการย้ายโรงงานก็ตาม ทำให้เชื่อว่าความสามารถในการจ่ายเงินปันผลของ SPPT ยังคงแข็งแกร่ง

บล.เคจีไอแนะนำขายSIRIราคาเป้าหมาย 2.90 บาทข่าวล่าสุดระบุว่า N-PARK จะขายส่วนการลงทุนใน SIRI บางส่วนเพื่อหักกลบหนี้ค้างชำระกับ SCIB ภายใน 26 มิ.ย. จากการพูดคุยกับผู้บริหารของ SIRI เราทราบว่า การขายดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการดำเนินงานของSIRI หรือแผนการปรับโครงสร้างการลงทุนในอนาคต ในปัจจุบัน N-PARK ถือหุ้น 24.6%ใน SIRI และจากหุ้นทั้งหมดมีหุ้นประมาณ 205 ล้านหุ้นหรือ 14.9% เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกับเจ้าหนี้ หากเราตั้งสมมติฐานว่า N-PARK จะขายหุ้นที่ใช้เป็นหลักทรัพย์ฯ ทั้งหมดส่วนการลงทุนใน SIRI จะลดลงเหลือต่ำกว่า 10% ตามลำดับในเดือน มิ.ย. SIRIสามารถปิดการขายโครงการคอนโดหรูที่พึ่งเปิดตัวในทำเลสุขุมวิทมูลค่า 3 พันล้านบาทอย่างงดงามภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่อาทิตย์ และยังสามารถสร้างยอดขายโครงการคอนโดบ้าน Sanpluem ที่หัวหินครบทั้ง 100% มูลค่า 588 ล้านบาทในเดือนเดียวกัน ทำให้ยอดขายโครงการ YTD ของ SIRI พุ่งเป็น 7.8 พันล้านบาท โดย 79% มาจากความสำเร็จของยอดขายโครงการคอนโด แม้ว่า SIRI จะประสบผลสำเร็จในด้านยอดขายโครงการสูงเกินคาดถึง 7.8 พันล้านบาทจากโครงการคอนโดเปิดใหม่ทั้งสองโครงการ เราเลือกที่จะคงเป้ายอดขายโครงการในปี 2550 ของเราไว้ที่ 11.0 พันล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลง 28% จากปี 2549 และแม้ว่ายอดขายโครงการ 5 เดือนแรกของปี 50 จะสูงถึง 71% ของประมาณการตลอดปี เราคาดว่าแนวโน้มที่ดีนี้จะไม่ต่อเนื่องในครึ่งหลังของปี 50 โดยมีปัญหายือเยื้อเรื่องกระแสเงินสดและการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นปัจจัยถ่วงที่สำคัญ เมื่อไม่มีเงินทุนก้อนใหม่จากแผนการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น SIRI จะไม่สามารถรักษาระดับยอดขายโครงการและกำหนดการที่เกี่ยวข้องกับการส่งมอบงานด้านก่อสร้างตามแผน ประมาณการรายรับในปี 2550-1 ของเราได้รับการยืนยัน 68% และ 39% ตามลำดับจากยอดขายรอรับรู้เป็นรายได้ในอนาคตจำนวน 16.3 พันล้านบาท จากตัวเลขนี้มากกว่า 50% มาจากยอดขายคอนโด และเราอาจต้องปรับลดกำไรในอนาคต หากยอดขายโครงการของ SIRI และเป้าหมายการรับรู้รายรับไม่เข้าเป้าในอนาคตอันใกล้

บล.กรุงศรีอยุธยาแนะนำถือGSTEELราคาเป้าหมาย 1.04 บาทยอดขายในช่วง 2 เดือนแรกของ 2Q50 ซบเซา ตลาดเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศช่วง 2เดือนแรกของ 2Q50 (เมย-พค.50) ซบเซาหนักกว่าช่วง 1Q50 ผลจากทั้งความต้องการใช้ที่ชะลอตัวตามเศรษฐกิจและฤดูฝนที่มาเร็วกว่าปกติ ซึ่งใน 2 เดือนแรกยอดขายเฉลี่ยของGSTEEL อยู่ที่ 80,000 ตัน/เดือน (เทียบเฉลี่ย 90,000 ตัน/เดือนใน 1Q50) โดยช่วงเดือน พค.50 บริษัทอาศัยการขายไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้นเพื่อคงปริมาณขายไม่ให้ตกต่ำไปมากกว่านี้ ซึ่งสัดส่วนการส่งออกในเดือน พค.50 มากถึง 30% ของยอดขายรวมเทียบกับปกติที่เคยส่งออกอยู่ประมาณ 10% ในเบื้องต้นบริษัทคาดหมายว่ายอดขายรวมใน 2Q50 จะอยู่ที่ประมาณ 250,000 ตัน (-7%QoQ, -4%YoY)ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อน (HRC) ในประเทศกำลังเริ่มอ่อนตัว แต่คาดว่าจะไม่ลงแรงเหมือนในอดีต ราคาขาย HRC หลังจากขึ้นไปสูงสุดในเดือน เม.ย.50 ที่ 20.00 บาท/กก. (จากเฉลี่ย 1Q50 ที่ 19.00 บาท/กก.) ราคาเริ่มเปลี่ยนกลับมาชะลอตัวอีกครั้งปัจจุบันราคา HRC ในประเทศได้ลดมาต่ำกว่า 20.00 บาท/กก.แล้ว ซึ่งเป็นการอ่อนตัวตามราคาในตลาดโลก แนวโน้มระยะสั้นยังไม่มีปัจจัยบวกต่อราคาเหล็ก แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่มีปัจจัยกระทบเชิงลบที่รุนแรง จึงมีความเป็นไปได้ว่าการชะลอตัวของราคาในครั้งนี้จะไม่แรงถึงขั้นตกต่ำหรือมีผันผวนมากเหมือนในอดีตแนวโน้มผลประกอบการ 2Q50 AYS คาดจะทรงตัวจาก 1Q50 จากปัจจัยข้างต้น คือปริมาณการขายที่ลดลง ขณะที่ราคาแม้จะกำลังปรับลดลงแต่โดยเฉลี่ยยังสูงกว่า 1Q50 (ราคาเฉลี่ย 1Q50 อยู่ที่ 19.00 บาท/กก. เทียบ 2Q50 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 20.00 บาท/กก.)AYS จึงประเมินในเบื้องต้นว่าผลประกอบการ 2Q50 ของ GSTEEL จะอยู่ในระดับทรงตัวจาก 1Q50 ซึ่ง AYS จะจัดทำประมาณการผลประกอบการอีกครั้งหลังจบ เดือน มิ.ย.50ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของไตรมาส

บล.ยูไนเต็ดแนะนำ-TACราคาเป้าหมาย 41.00 บาทผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ TAC เริ่มเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือตั้งแต่ปี 34 ภายใต้สัมปทานแบบ BTO (Build-Transfer-Operate) ของ CATซึ่งจะสิ้นสุดอายุในปี 61 ด้วยความโดดเด่นด้านคุณภาพโครงข่ายที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศกว่า 90%ของประเทศและสินค้าที่เน้นสร้างความหลากหลายในการใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่น Maximize, ZAD หรือซิมกระปุก เป็นต้น จึงทำให้ TAC สามารถขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงปี 49 ที่บริษัทมีอัตราการเติบโตของฐานลูกค้าสูงถึง 40.9%YoY หรือคิดเป็นอัตราที่สูงกว่าตลาดผู้ใช้มือถือรวมกว่า 1.34 เท่าตัว โดยณ สิ้น 1Q50 บริษัทมีฐานลูกค้าแล้วกว่า 13.33 ล้านราย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศกว่า 31% ได้ประโยชน์จากการใช้ค่า IC ส่งผลคาดกำไรสุทธิปี 50 โตก้าวกระโดดกว่า 47.8%YoY เนื่องจากตั้งแต่ปลายปี 49 ไทยได้มีการประกาศใช้ค่า IC อย่างเป็นทางการ จึงทำให้ TAC ปรับเปลี่ยนวิธีการจ่ายชำระค่าเชื่อมโยงโครงข่ายใหม่จากเดิมในรูป Access Charge (AC) เป็นในรูปค่า IC แทน และส่งผลประโยชน์ต่อเนื่องให้บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 1.15 เท่าใน 1Q07ประกอบกับแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมผู้ใช้มือถือที่ยังทรงตัวในระดับสูงเฉลี่ย 23.1%ต่อปีใน 3 ปีที่ผ่านมาและจุดเด่นของบริษัทในการทำการตลาด ทำให้เราประมาณการรายได้รวมและกำไรสุทธิของบริษัทปี50 ขยายตัวถึง 40.1%YoY และ 47.8%YoY ตามลำดับ มาอยู่ที่ 67,480 ล้านบาทและ 7,296 ล้านบาท แม้เราประเมินแนวโน้มการขยายตัวของกำไรสุทธิในช่วงปี 50-51 ของ TAC จะขยายตัวโดดเด่นเฉลี่ย 39.5%ต่อปีตามผลกระทบแง่บวกจากการเริ่มใช้ค่า IC อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวแล้ว เรายังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงทางกฎหมายหลายประเด็นที่จะกระทบโดยตรงต่อผลการดำเนินงานทั้งในเรื่อง 1) ข้อพิพาทการเป็นรูปแบบการชำระค่าเชื่อมโยงโครงข่ายกับคู่สัญญา (TOT) ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมฟ้องร้อง, 2) ความเสี่ยงเกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาสัมปทานในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับอัตราส่วนแบ่งรายได้ใหม่เพิ่มขึ้น, 3) ประเด็นความเสี่ยงขัดต่อ พรบ. คนต่างด้าว รวมทั้ง ยังมีความเสี่ยงที่เกิดจากภาวการณ์แข่งขันด้านราคาที่อาจรุนแรงอีกครั้ง

ที่มา ข่าวหุ้น[/color:eeee157c49">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com