May 19, 2024   3:58:29 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ตลาดหุ้นไทยในช่วง "ฟ้าหลังฝน" ?
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 11/06/2007 @ 08:17:10
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ทิศทางตลาดหุ้นไทยหลังคำตัดสินของศาลตุลาการรัฐธรรมคดียุบพรรค ถึงแม้จะเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี ทว่าหลายฝ่ายก็ยังมีความกังวลใจถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจะจะเกิดขึ้น ทั้งในเรื่องของความแน่นอนของการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ความขัดแย้งทางการเมือง การปรับตัวของราคาน้ำมัน การแข็งค่าของเงินบาท รวมถึงการชะลอตัวของภาคเอกชนที่จะรุกการลงทุนในประเทศเพิ่ม

ประเด็นเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่กดดันความน่าสนใจที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นโดยตรง ถึงแม้ว่าจะมีใครๆ บอกว่าตลาดหุ้นไทยมีค่าพีอีที่ต่ำที่สุดในโลกแล้วก็ตาม

แต่ดัชนีก็ไม่สามารถจะปรับตัวขึ้นได้ ซึ่งทางบล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)จำกัด ได้จัดงาน "กลยุทธ์การลงทุน ฟ้าหลังฝน"โดยนาง อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า ความวุ่นวายทางการเมืองไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วเมื่อมีการยุบพรรค

"จากนี้ไปจะอยู่ในทิศทางที่ดี เพราะจะมีการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นภายในปี 2550หรืออย่างช้าต้นปี 2551 ซึ่งนี้จะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น"

นอกจากนั้น ประกอบกับช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ รวมถึงตลอดช่วงปี 2549ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค เนื่องจากังวลกับเรื่องปัจจัยทางการเมือง

"หลังจากที่สถานการณ์ทางการเมืองผ่อนคลายลง ตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะปรับขึ้น เนื่องจากพีอีตลาดหุ้นไทยต่ำ แต่สามารถให้ผลตอบแทนจากเงินจากเงินปันผลที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของภูมิภาค ซึ่งช่วงที่ผ่านมาเงินต่างชาติไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีข่าวลบออกมา แต่ก็ยังอยู่ในช่วงแกว่งขึ้น"นางอาภาภรณ์กล่าว

ทั้งนี้คงต้องจับตาว่านักลงทุนต่างชาติจะซื้อต่อเนื่องอีกนานเท่าไหร่ เพราะหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่นักลงทุนต่างชาติซื้ออย่างต่อเนื่องเหมือนช่วงที่ผ่านมาเลย รวมถึงทางโบรกเกอร์ต่างๆ เองก็ออกไปนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ยังต่างประเทศมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

อย่างไรก็ตามเมื่อดูตัวเลขปริมาณการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่สูงสุดช่วงปี 2548ทั้งปีอยู่ที่ระดับ 1.2 แสนล้านบาท แต่สำหรับปีนี้เวลาผ่านไปเพียงแค่ 5 เดือนนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิแล้วไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งแนวโน้มที่จะซื้อเพิ่มอีก 4-5 หมื่นล้านบาท ก็มีความเป็นไปได้สูง

"ตอนนี้เหลือเพียงปัญหาเรื่องการเมืองที่ยังค้างคาอยู่ ถ้าทุกอย่างจบลงด้วยดี สถานการณ์ภายในประเทศคลี่คลายขึ้น นักลงทุนต่างชาติก็พร้อมที่จะเข้ามาลงทุน เพราะมีเม็ดเงินเตรียมไว้อยู่แล้ว"นางอาภาภรณ์กล่าว

นางอาภาภรณ์ กล่าวว่า สำหรับปัจจัยบวกที่จะส่งเสริมให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น คงไม่แนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยลงที่อาจจะได้เห็นอีก 0.25 % หรืออย่างมากอีก 0.50 % ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการปรับลงมาแล้ว 1.50 % และมีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ย R/P จะคงเหลือ 3 % ภายในปีนี้

ทั้งนี้การปรับอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีผลต่อการย้ายเม็ดเงินของบรรดานักลงทุนสถาบันที่เป็นกองทุน ที่ลงทุนในตลาดตราสารหนี้ มายังตลาดหุ้นแทน ซึ่งถ้าเกิดมีการปรับลดดอกเบี้ยอีก ก็จะทำให้ตลาดหุ้นดูดีขึ้นอย่างแน่นอน เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว

ส่วนความคืบหน้าในโครงการการลงทุนภาครัฐ ที่จะเปิดประมูลโครงก่อสร้างรภไฟฟ้าสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ในเดือนกรกฎาคม 2550 และเริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ 2551 รวมถึงการอยู่ระหว่างพิจารณาโครงการก่อสร้างทางสายอื่นต่อ ถือเป็นสิ่งที่จะเป็นปัจจัยบวกภาพรวมของเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยด้วย

อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และรวดเร็วคงเป็นการรุกลงทุนของภาคเอกชนมากกว่า เพราะในความเป็นจริงแล้วจะมีสัดส่วน 70 %ของจีดีพีประเทศ ในขณะที่ภาครัฐจะน้อยกว่า

"การผลักดันให้เกิดโครงการของภาครัฐ ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของภาคเอกชน เหมือนอย่างกรณีที่ยิงกระสุนนัดแรกของทางภาครัฐออกไปก่อน จะทำให้เอกชนวิ่งตามออกมาอีกเป็น 10 นัด สิ่งเหล่านี้จะทำให้ภาพรวมดีขึ้น"นางอาภาภรณ์กล่าว

นางอาภาภรณ์ กล่าวว่า ถ้ามองข้ามไปยังรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง ถือเป็นปัจจัยที่คาดการณ์ได้ยากนัก แต่จากประวัติที่ผ่านมาการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไปแล้ว ภาพจะชัดเจนขึ้น สำหรับรัฐบาลใหม่ ที่คาดว่าจะเป็นรัฐบาลผสมที่หลายคนเกรงว่าจะมีความอ่อนแอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการตลาด และการตัดสินใจที่น่าจะทำได้ไม่ดีเท่ากับรัฐบาลยุคทักษิณ

อย่างไรก็ตามคิดว่าอาจจะมีเซอร์ไพร์สในทางที่ดีเกิดขึ้น เนื่องจากทุกคนมีความคาดหวังในรัฐบาลผสมที่ต่ำเกินไป แต่ในความเป็นจริงแล้วรัฐบาลใหม่ น่าจะมีคนรุ่นใหม่ ไฟแรงมีความรู้หลากหลาย ผ่านการทำงานกับต่างชาติมาก และเข้าไปทำงานมากขึ้น ซึ่งอาจจะมีวิธีและกระบวนการในการทำงานที่ดีและรวดเร็วกว่าที่คาดไว้

ส่วนดัชนีของตลาดหุ้นที่เหมาะสมของปีนี้มองไว้ที่ 835 จุด ซึ่งข้อสำคัญอยู่ที่การเลือกจังหวะที่จะเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ พลังงาน ปิโตรเคมี และอิเล็กทรอนิกส์

สำหรับหุ้นที่แนะนำให้ลงทุนรายตัว คือ MAJOR เนื่องจากกำไรสุทธิในปี 2550 เติบโตจากการที่มีภาพยนตร์ดังเข้าฉายด้วยกันหลายเรื่อง และจะมีกำไรจากการขายสินทรัพย์ให้กองทุนอสังหาริมทรัพย์ด้วย

ราคาเป้าหมายของปีนี้อยู่ที่ 23.50 บาท ในขณะที่หุ้น IRP ก็เป็นหุ้นอีกตัวหนึ่งที่ทางฝ่ายวิเคราะห์ให้ความสนใจ เนื่องจากส่วนต่าง(สเปรด)ได้ถึงจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส1 ของปี2550 ซึ่งอนาคตมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยได้รับประโยชน์จากการขยายกำลังการผลิตตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปีนี้เป็นต้นไป ราคาเป้าหมายของปีนี้อยู่ที่ 9.25 บาท

ด้านนายธีรพันธุ์ จิตตาลาน รองกรรมการผู้จัดการผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บลจ.กรุงไทย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า จากนี้ไปการแข่งขันทางธุรกิจจะเป็นเรื่องของความเป็นสากลมากขึ้น เนื่องจากประเทศที่เป็นลัทธิสังคมนิยม ได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ อย่างประเทศจีน เวียดนาม และรัสเซีย ที่ภาครัฐให้การสนับสนุนการลงทุนภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์เหล่านี้

"หลังจากที่จีน เวียดนาม และประเทศอื่นๆ ที่ปิดตัวเองมานาน จากสังคมโลก พอถึงจังหวะที่จะต้องแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจก็มีการปรับตัวมา ทำให้เกิดการบริโภคเพิ่มมากขึ้นซึ่งประชากรที่อยู่ในประเทศเหล่านี้ รวมกันแล้วอาจมีมากถึง 2.9 พันล้านคน"นายธีรพันธุ์กล่าว

อัตราการเติบโตของประเทศเหล่านี้อยู่ในเกณฑ์สูงมาก โดยเฉพาะในประเทศจีนซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกกฎหมายในการเก็บภาษี ดอกเบี้ย ค่าโบรกเกอร์เรจ ในการซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีคนเปิดบัญชีเพื่อการลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มวันละ 1 ล้านคน ซึ่งถือว่าไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว

นายธีรพันธุ์กล่าวอีกว่า ในเมื่อมีคนมาช่วยบริโภคเพิ่มมากขึ้นแล้ว แน่นอนเลยว่าอัตราการเติบโตต้องตามมา การจัดสรรทรัพยากรในอนาคตก็จะมีส่วนในการเติบโต เพราะถ้าเกิดมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้เกิดการบริโภคเช่นเดียวกันกับตลาดหุ้น ถ้าราคาหุ้นในกระดานขึ้น จะทำให้เกิดการใช้จ่ายที่มากขึ้นตามมา

ด้านนายวัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า ในสายตามผมตอนนี้มองตลาดหุ้นไทยดีกว่าช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้าย้อนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 กลับไปเมื่อปี 2519 หรือแม้กระทั่งช่วงปี 2534 (พฤษภาทมิฬ)นั้น ล้วนมีระยะห่างกันประมาณ 15 ปีเท่ากัน โดยเฉพาะภายหลังจากพฤษภาทมิฬอีก 2 ปี ตลาดหุ้นไทยก็วิ่งขึ้นไปถึง 1,700 จุด ซึ่งสถิติดังกล่าวน่าสนใจเหมือนกันว่าตลาดหุ้นไทยรอบนี้จะเหมือนกับรอบที่ผ่านมาหรือไม่

"ผมคงยังไม่กล้าฟันธงไปว่าตลาดหุ้นไทยจะเหมือนก่อนที่หุ้นขึ้นแรงๆ หรือไม่ แต่เมื่อดูสถิติเม็ดเงินซื้อสุทธิของต่างชาติ ซึ่งปกติแล้วจะซื้อช่วงม.ค.-เม.ย. และขายพ.ค.แต่ปีนี้มาแปลกคือขายม.ค.-เม.ย.แต่ซื้อกลับพ.ค.-มิ.ย. ซึ่งลักษณะดังกล่าวเหมือนช่วงปี 2548 ตอนที่หุ้นวิ่งแรงๆ หรือคล้ายกับปี 2536 ซึ่งถือเป็นอีกปีที่หนึ่งที่หุ้นดี"นายวัชระกล่าว

การไม่ขอสรุปว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไรนั้น เนื่องจากยังมีความกังวลในเรื่องของการเกิดความรุนแรงที่จะมีการปะทะกัน ซึ่งถ้าขึ้นก็จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนระยะยาว ทั้งนี้ถ้าใครคิดว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดก็ให้รอจังหวะลงทุนได้เลย แต่ถ้าใครคิดว่าคงไม่มีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงก็ให้ลงทุนได้เลย

อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ทิศทางดัชนีของตลาดหุ้นทั่วโลก ยังไปได้อีกมันก็สามารถที่จะดึงตลาดหุ้นไทยให้เติบโตตามไปได้ ในทางกลับกันจะมีการปรับตัวลงแรง ก็อาจจะมีผลบ้างแต่ไม่มาก ซึ่งถ้าการเมืองดีขึ้น ก็เป็นโอกาสที่จะเลือกซื้อหุ้นได้เลย


:lol: [/color:f4b3d474ce">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com