May 6, 2024   1:50:11 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กลยุทธ์พิชิตหุ้นเดือนมิ.ย.
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 07/06/2007 @ 11:11:38
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดแผนพิชิตหุ้นเดือนมิถุนายนหลังผ่านคดียุบพรรคการเมืองเปลี่ยนมุมมองตลาดหุ้นไทยในระยะยาวสดใส แนะเก็บ ATC RRC BBL CCET AEONTS MAJOR และ TSTH ประเมินเป้าหมายดัชนีปลายปีนี้แตะ 774 จุด ส่วนปีหน้าคาดยืน 953 จุด

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพการลงทุนในเดือนมิถุนายนนี้ของตลาดหุ้นไทยโดยรวมจะดูดีขึ้นกว่าเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาถึงแม้จะมีความเสี่ยงในระยะสั้นแต่ภายหลังคำตัดสินคดียุบพรรคการเมืองของศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นทำให้ช่วยลดความเสี่ยงทางการเมืองของไทยลงได้ในระดับหนึ่งและทำให้ทิศทางการเมืองไทยมีความชัดเจนมากขึ้น

ประกอบกับปัจจัยด้านฟันด์โฟร์ยังเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นเอเชียรวมทั้งไทยด้วย โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่คาดว่าจะได้รับส่วนแบ่งเม็ดเงินมากขึ้นทั้งจากเงินลงทุนก้อนใหม่ที่จะไหลเข้ามา และจากเงินที่จะถูกโยกออกจากตลาดอื่นในเอเชียที่มีราคาค่อนข้างแพงแล้ว

ทั้งนี้จากมุมมองที่เริ่มดีขึ้นของตลาดหุ้นไทยและเชื่อว่าจะเกิดการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้จะทำให้ตลาดหุ้นไทยถูกขับเคลื่อนด้วยความคาดหวังก่อนที่ผลดีที่แท้จริงจะเกิดขึ้น จึงคาดว่าจะทำให้แนวโน้มตลาดหุ้นเปลี่ยนเป็นทิศทางขาขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 3/2550 ถึงต้นไตรมาส 4/2550 โดยประเมินเป้าหมายดัชนีในปลายปีนี้ที่ 774 จุด ขณะที่ในปี 2551 มองเป้าหมายดัชนีไว้ที่ 953 จุด

ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือนมิถุนายนนี้คาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบ 735-783 จุด โดยหุ้นที่แนะนำในเดือนมิถุนายนคือ ATC ให้ราคาเหมาะสมที่ 74.00 บาท ,RRC 23.00 บาท , BBL 138.83 บาท , CCET 5.66 บาท ,AEONTS 58.00 บาท ,MAJOR 22.00 บาท และTSTH 1.32 บาท

สำหรับนักลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงในระยะสั้นได้น่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้นในระยะยาว โดยกลยุทธ์การลงทุนสำหรับพอร์ตการลงทุนระยะกลางถึงยาว แนะนำสะสมหุ้นในกลุ่ม Quality plays หรือหุ้นที่มีพื้นฐานดี ประกอบไปด้วยกลุ่ม defensive energy เช่น PTT ,BANPU ที่มีกระแสเงินสดจากธุรกิจหลักที่มั่นคง กลุ่มโรงกลั่น TOP, RRC ที่คาดว่าจะมีผลประกอบการที่ดีในไตรมาส 2-3/2550 รองรับ รวมถึงหุ้น KBANK ,BBL ,IRP, ERAWAN, HEMRAJ, MAJOR, SE-ED และSPALI

ส่วนกลุ่มที่ไทยมีความได้เปรียบในเชิง Valuations เมื่อเทียบกับประเทศในแถบนี้ ซึ่งธุรกิจไทยที่มีราคาค่อนข้างต่ำกว่า เช่น กลุ่มคอนซูมเมอร์โปรดักส์ อาทิ HMPRO, TUF, UVAN และTVO กลุ่มน้ำมันและพลังงาน อาทิ RATCH ,EGCO รวมถึงกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อาทิ SPALI, MK, QH และPS

นอกจากนี้ยังมีหุ้นในกลุ่ม recovery plays หรือหุ้นที่คาดว่าจะกลับมาพลิกฟื้น เช่นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มบริการ รวมถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น STEC ,SEAFCO, TSTH, DCC, TASCO, MCS, TICON, ROJANA, HEMRAJ

ขณะเดียวกันก็ยังแนะนำให้ซื้อหุ้นที่มีปันผลดีซึ่งนอกจากจะลดความเสี่ยงในกรณีการเมืองพัฒนาไปเลวร้ายกว่าที่คิดแล้ว ยังเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากที่กำลังปรับตัวลดลงอีกด้วย โดยเน้นเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่อง เช่น HEMRAJ, ROJANA, SPALI และTICON เป็นต้น



 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com