*ภาพการแกว่งตัวไปมาของดัชนีทั้งในแดนบวกและแดนลบ ไม่ได้ทำให้ "โมนิก้า" รู้สึกเป็นกังวลใจ หรือตื่นตระหนกเท่ากับข่าวคราวของ ปตท.จะถูกถอนออกจากตลาดหุ้นเพราะเป็นปรากฎการณ์ปกติที่พบเห็นได้เป็นประจำในยามที่ดัชนีปรับตัวขึ้นแรงติดต่อกันหลายวันนะจะบอกให้
*มิหน่ำซ้ำยังเป็นการลดอุณหภูมิความร้อนแรงของดัชนีได้ฉมัง ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มโอกาสให้ดัชนีไต่ระดับขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญบริเวณ 780 จุดเร็วขึ้น "โมนิก้า"ถึงกล้าการันตรีว่า การอ่อนตัวของดัชนีเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะทำให้รู้ว่าแรงซื้อที่เข้ามาล็อตใหญ่ก่อนหน้านี้เป็นของแท้ หรือของเทียม อิอิอิ
*ในระหว่างนี้นักลงทุนควรดักรอซื้อหุ้นเมื่ออ่อนตัวลงมาให้ได้มากที่สุด เพราะเดี๊ยนเชื่อว่าแรงเทขายจะสะเด็ดน้ำภายใน 1-2 วัน โดยหุ้นกลุ่มหลักอย่าง แบงก์ ไฟแนนซ์ปิโตรเคมี พลังงาน และ อสังหาริมทรัพย์ เป็นหุ้นแกนหลักที่นักลงทุนจะต้องมีติดพอร์ตไม่มากก็น้อยนะค่ะ
*ส่วนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในกลุ่ม SET 100 ที่เจ๊หนุ่ยพยายามจะนำเสนอต่อนักลงทุนต่างชาติ หลังมีเสียงเรียกร้องเข้ามามาก พร้อมกับสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ให้เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้นนั้น "โมนิก้า" ขอยก 2 มือสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวอย่างเต็มที่ และเป็นกำลังใจให้ตลอดไปเจ้าค่ะ
*เนื่องจากเป็นแนวทางการพัฒนาตลาดทุนที่ดี และไม่ต้องงอมืองอเท้ารอให้หุ้นรัฐวิสาหกิจเข้ามาจดทะเบียนเหมือนก่อนหน้านี้...ถึงแม้ผลลัพธ์ที่ย้อนกลับมาจะไม่มากมายนัก แต่อย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่า มิติของการลงทุนกำลังเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวนักลงทุนล้วนๆ
*เมื่อหุ้นใหญ่ต้องผ่านการทดสอบแรงเทขายทำกำไร ถึงจะมีสิทธิ์ทะยานขึ้นไปสร้างแนวรับใหม่ที่สูงกว่าเดิม ทำให้หุ้นขนาดเล็กกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง และวานนี้ก็เหมือนเป็นวันปล่อยผีครั้งใหญ่ แถมหุ้นที่ขึ้นมาแต่ละตัวสารรูปดูไม่ได้เลยทั้งนั้น และยังมีชนักติดหลังอีกต่างหากแบบนี้...ลากไปออกของชัวร์
*โดยเฉพาะในรายของ APURE แค่ได้ยินชื่อก็รู้กันทั่วคุ้งน้ำว่า เกิดมาเพื่อปั่นราคา"โมนิก้า" ถึงไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายอะไรให้เสียเวลา แถมกรอบแนวรับแนวต้านก็ไม่สามารถใช้การได้ จึงขึ้นอยู่กับว่า ใครสมัครใจที่จะเล่นเกมซึ่งมีโอกาสได้แค่ 20% แต่มีโอกาสเสียสูงถึง 80% มากกว่านะค่ะ
*เนื่องจากการวิ่งขึ้นมาปิดที่ 1.70 บาท บวกไป 0.39 บาท หรือขึ้นไปถึง 29.77 %ค่อนข้างโอเว่อร์รีแอ๊ค แต่สำหรับพวกเสือปืนไวกลับมองเป็นโอกาสทองของการเข้าลงทุนแบบนี้ เดี๊ยนคิดว่าใช้วิจารณญาณตัดสินใจกันเอาเองดีกว่า
*เช่นเดียวกับในรายของ EWC ราคาหุ้นวิ่งกุเรงๆ ก่อนจะมาปิดที่ 8.35 บาทบวกไป 0.90 บาท หรือขึ้นไปถึง 12% ทั้งที่ตัวบริษัทร่อแร่เหลือเกินแบบนี้ มองในมุมไหนด้านไหน "โมนิก้า" ก็ไม่สนับสนุนให้นักลงทุนเข้าเล่นอยู่ดี เพราะของมันรู้กันเต็มอกว่า ข้างนอกสุกใส ข้างในตะติงโหน่ง นะจะบอกให้
*น่าเสียดายที่ความคิดเห็นของเดี๊ยนไม่สามารถยับยั้งความละโมบของนักลงทุนได้ถึงต้องปล่อยเลยตามเลย ยิ่งมีแมงลือยกเรื่องราคาหุ้นในกระดานต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ระดับ 13.93 บาท งานนี้ราคาหุ้นคงไม่หยุดวิ่งง่ายๆ แล้วหล่ะ เพราะมีสตอรีหล่อเลี้ยงยอดเยี่ยมเหลือเกินเจ้าค่ะ
*แปลกประหลาดสุดๆ เห็นจะเป็นในรายของ PICNI รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นหุ้นเน่าแถมเบี้ยวหนี้ชาวบ้านชาวเมืองไปทั่ว แต่วานนี้ราคาหุ้นดันวิ่งขึ้นมาปิดที่ 0.32 บาท บวกไป0.06 บาท หรือขึ้นไป 23% เป็นเรื่องที่น่ากลัวไม่น้อย เพราะการขึ้นมาครั้งนี้ปราศจากปัจจัยพื้นฐานรองรับนะจ๊ะ
*แถมธุรกิจแก๊สนับวันแทบจะหากำไรไม่ได้แบบนี้ "โมนิก้า" ก็ไม่เชื่อว่าบริษัทจะมีปัญญาชำระหนี้ที่มีอยู่บานเบอะได้หมด อีกทั้งวันก่อนเดี๊ยนไปพบผู้จัดการกองทุนต่างประเทศท่านหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ ก็เลยเรียบๆ เคียงๆ ถามว่า อนาคตของบริษัทที่มีหนี้มากๆ จะเป็นอย่างไรก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ช้าหรือเร็วบริษัทก็ต้องมีปัญหาอยู่ดี จึงไม่ควรเข้าไปข้องแวะด้วยประการทั้งปวงนะจะบอกให้
*ทางด้านหุ้นพลังงานแสงอาทิตย์ SOLAR ก็ฉวยโอกาสนี้วิ่งขึ้นมาปิดที่ 3.52 บาทบวกไป 0.34 บาท หรือขึ้นไปถึง 10% กับเขาเหมือนกัน ทั้งที่พื้นฐานตัวบริษัทก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ เหตุไฉนนักลงทุนต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงด้วยหล่ะ และหากจำตอนหุ้นเข้าตลาดฯ ใหม่ๆ ได้ จะรู้ได้ทันทีว่าการติดหุ้นบนยอดมันแสบทรวงขนาดไหน และการตัดขายหุ้นขาดทุนมันทำให้นักลงทุนขาดทุนยับเยินจนไม่ทางแก้ตัวนะซี
*ตบท้ายกันที่หุ้นดีๆ อย่าง UCOM กันบ้างดีกว่า เพราะการที่ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดถึง73.50 บาท บวกไป 4 บาท พร้อมด้วยวอลุ่มหนาแน่น เกิดจากส่วนต่างราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นสิงค์โปร์ห่างกันหลายบาท พวกนกรู้ถึงได้กระโจนเข้าใส่กันมือเป็นระวิงและเดี๊ยนก็เห็นด้วยหากนักลงทุนจะเข้าเล่นหุ้นตัวนี้นะจ๊ะ