May 6, 2024   1:41:46 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นดาวเด่นขัดตาทัพยามบิ๊กแคปปรับฐาน
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 05/06/2007 @ 23:39:48
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

หุ้นเล็กร้อนหลัง นลท.ลุยเก็งกำไรขัดตาทัพ ในจังหวะที่หุ้นบิ๊กแคปปรับฐาน เปิดโผหุ้นเด่นขยับเป็นระยะทั้ง LIVE, NEP, NEP-W1, NNCL, NNCL-W1, S2Y, APURE, TKS-W1, PAE, PT, PE, AMC-W1, SOLAR, BLAND และ UBIS

* หุ้นบิ๊กแคป ร่วงตาม SET Index
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันที่ 5 มิถุนายน 2550 ปิดที่ระดับ 760.59 จุด ลดลง 10.02 จุด หรือ 1.30% มูลค่าการซื้อขาย 29,950.81 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวลดลงหลังก่อนหน้านี้ 3 วันทำการดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 40 จุด พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายแตะระดับสูงสุดกว่า 40,000 ล้านบาท

การปรับตัวลดลงของดัชนีฯ ถือเป็นการพักฐานหลังจากปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรง ซึ่งได้นำพาหุ้นบิ๊กแคปปรับตัวลดลงในเวลาเดียวกันด้วย ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ที่ลดลง 4 บาท มาอยู่ที่ระดับ 266 บาท, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) ลดลง 4 บาท มาอยู่ที่ 105 บาท, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) ลดลง 3 บาท มาอยู่ที่ 116 บาท, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ลดลง 1.50 บาท มาอยู่ที่ 70.50 บาท, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) ลดลง 1.50 บาท มาอยู่ที่ 71.50 บาท และ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) (SCC) ลดลง 4 บาท มาอยู่ที่ 252 บาท เป็นต้น

* จับตาหุ้นเล็กมาแรง
ท่ามกลางการปรับฐานของบรรดาหุ้นบิ๊กแคปในระยะนี้ ยังเป็นโอกาสให้หุ้นเล็กๆ มีแรงซื้อขายเข้ามา ซึ่งในอดีตจนถึงปัจจุบัน จะมีหุ้นเล็กๆ ที่นักลงทุนได้เข้ามาเก็งกำไร โดยบางตัวมีการไล่ราคาจนพุ่งชนเพดานสูงสุด (ซิลลิ่ง) มาหลายรอบ จนทำให้เกิดคาดการณ์ว่าหุ้นเหล่านี้อาจมีแรงเก็งกำไรเข้ามาอีกรอบ ในจังหวะที่หุ้นบิ๊กแคปราคาลดลงดังกล่าว ประกอบด้วย

บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (LIVE), บริษัท เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (NEP) และใบสำคัญแสดงสิทธิ (NEP-W1), บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) (NNCL) และใบสำคัญแสดงสิทธิ (NNCL-W1), บริษัท สยามทูยู จำกัด (มหาชน) (S2Y), บริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (APURE), ใบสำคัญแสดงสิทธิ บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (TKS-W1)

บริษัท พีเออี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (PAE), บริษัท พรีเมียร์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (PT), บริษัท พรีเมียร์เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) (PE), ใบสำคัญแสดงสิทธิ บริษัท เอเซีย เมทัล จำกัด (มหาชน) (AMC-W1), บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) (SOLAR), บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) (BLAND) และ บริษัท ยูบิส (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) (UBIS)

* ผู้บริหารบริษัทมีทั้งเปิดตัวและไม่เปิดตัว
สำหรับหุ้นเล็กดังกล่าว บางบริษัทผู้บริหารไม่เปิดตัวต่อสื่อมวลชน แต่บางบริษัทได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่เกิดขึ้นในแต่ละรอบ ซึ่งส่วนใหญ่จะระบุว่าไม่รู้สาเหตุของหุ้นวิ่ง เพราะไม่ได้ดูราคาหุ้นเป็นประจำ แต่ยืนยันว่าบริหารงานอย่างเต็มที่ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้น

ขณะเดียวกัน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแนวโน้มการเติบโตของบริษัท และแผนการทำธุรกิจใหม่ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุด คือ การสร้างกำไรเพื่อส่งคืนสู่ผู้ถือหุ้น ตัวอย่างเช่น นายนิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) หรือ NNCL เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/50 ของบริษัท คงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสแรกที่มีรายได้ 339.48 ล้านบาท กำไรสุทธิ 114 ล้านบาท เนื่องจากจะมีการทยอยรับรู้รายได้จาก Backlog ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทยังคงเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.09 พันล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้มีการเปิดโรงงานผลิตน้ำไปแล้วเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิต 4.5 หมื่นคิว/วัน เพื่อจำหน่ายให้กับโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมและทดแทนน้ำบาดาลที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น และจะส่งผลดีให้ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมมีต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลง ทั้งนี้บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากโรงงานผลิตน้ำเป็น 30% ในอนาคต
รวมทั้ง มีแผนที่จะก่อสร้างโรงงานบำบัดน้ำเสีย มูลค่าเงินลงทุนกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างช่วงไตรมาส 4/50 และคาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการได้ในช่วงปี 2552

ขณะที่ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการ บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ TKS เปิดเผยถึงทิศทางผลประกอบการในปี 2550 ว่า การมุ่งขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในปีนี้คาดว่าจะทำให้รายได้ในธุรกิจสิ่งพิมพ์เติบโต ได้ประมาณ 10% จากปีก่อน ในขณะที่ธุรกิจไอทีจะเติบโตประมาณ 3% ใกล้เคียงกับธุรกิจไอทีทั้งระบบหนุนให้รายได้ทั้งปี 2550 จะสามารถทะลุ 10,000 ได้สำเร็จ โดยในไตรมาสที่ 1/2550 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,689.2 ล้านบาท

หรือ นายชูศักดิ์ ยงวงศ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเซีย เมทัล จำกัด (มหาชน) (AMC) ที่เปิดเผยว่า ไม่ทราบถึงราคาหุ้น AMC และ AMC-W1 ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีข่าวใหม่ออกมาหนุนให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นร้อนแรงได้
แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าส่วนหนึ่งน่าจะมาจาก ราคาหุ้น AMC แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ในช่วงก่อนหน้านี้ ประกอบกับนักลงทุนเห็นปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท ทำให้มีความมั่นใจกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง

อนึ่ง แผนการขยายธุรกิจก็กำลังคืบหน้าไปด้วยดี โดยเฉพาะโครงการที่พนัสนิคม จ.ชลบุรีขณะนี้ก็เป็นไปตามแผนทุกอย่าง ทั้งการขยายอาคารโรงงานและสำนักงาน รวมถึงการติดตั้งเครื่องจักรผลิตท่อเหล็ก ซึ่งคาดว่าจะเริ่ม test run ในช่วงปลายปีนี้และเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงต้นปี 2551และหลังจากที่ติดตั้งเครื่องจักรผลิตท่อเหล็กเสร็จ จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 1.8 แสนตันต่อปี ซึ่งทุกขั้นตอนกำลังเดินไปได้ด้วยดี

รวมทั้ง นายอัครเดช โรจน์เมธา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) (SOLAR) ที่เปิดเผยถึงการที่ราคาหุ้นกระดานปรับเพิ่มขึ้นในระยะนี้ ว่า โดยส่วนตัวไม่ได้ติดตามเรื่องความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด แต่การที่ระยะ 1-2 วันนี้หุ้นปรับเพิ่มก็นับเป็นเรื่องดี ซึ่งโดยในส่วนของการดำเนินงานก็ยังเป็นไปตามปกติไม่ได้มีข่าวดีใดซ่อนเร้นอยู่

ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ของปี นี้ไว้ที่ 1,100 ล้านบาท โดยจะเน้นกลยุทธ์การขยายตลาดภาคเอกชนให้มากขึ้น โดยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาได้เริ่มทำตลาดอย่างจริงจังและคาดว่าจะเห็นผลชัดเจนในช่วงตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป

เขากล่าวต่อถึงโรงงานผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ที่กำลังก่อสร้างว่า จะแล้วเสร็จได้ภายในสิ้นปีนี้และจะสามารถทดสอบการผลิต (Test Run) ได้ในปีหน้า และหลังจากนั้นจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ทันที เพื่อเป็นการรองรับตลาดในอนาคต ที่จะขยายตัวทั้งในและต่างประเทศ โดยในประเทศจะมาจากงานทั้งภาคเอกชนและภาครัฐบางส่วน ส่วนงานต่างประเทศในปัจจุบันได้เริ่มดำเนินการจัดจำหน่ายสินค้าในประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซียบ้างแล้ว แม้ตลาดในขณะนี้ยังเล็กอยู่ แต่เชื่อว่าในอนาคตจะมีฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้น


:lol:

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 05/06/2007 @ 23:41:00 :
* โบรกฯ เชื่อแรงขายหุ้นบิ๊กแคปยังมีอยู่

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยปรับฐาน หลังจากที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแรงในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมานั้น แนะนำนักลงทุนให้ปรับน้ำหนักการลงทุนลงประมาณ 25% ของพอร์ตการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงลง เนื่องจากยังคงมีแรงเทขายในหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่อยู่ ประกอบกับตลาดหุ้นในแถบเอเชียส่วนใหญ่ก็ปรับตัวลดลงตามดัชนีฯ ตลาดหุ้นจีนที่ปรับลดลงมาแรงอีกด้วย

อย่างไรก็ดี หากนักลงทุนที่ต้องการจะลงทุนในหุ้นเก็งกำไรก็แนะนำให้เลือกหุ้นที่มีประเด็น เช่น ธนาคารสินเอเซีย จำกัด (มหาชน) (ACL), บริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) (SATTEL) และ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB) โดย ACL มีประเด็นเรื่องที่มีกระแสข่าวว่า ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) อยู่ระหว่างเจรจาขายหุ้น ACL ให้กับนักลงทุนหลายราย และคงจะเลือกรายที่ให้ราคาดีที่สุด โดยคาดว่ากระบวนการเจรจาจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายนนี้

ในขณะที่ SATTEL ก็มีประเด็นเรื่องของการขายหุ้นเชนนิงตัน อินเวสท์เมนท์ พีทีอีแอลทีดี (Shenington) ในสัดส่วนร้อยละ 49 ของหุ้นที่ออกแล้วทั้งหมดของ Shenington และหุ้น TMB ที่นักลงทุนยังให้ความสนใจกับประเด็นการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับธนาคารดีบีเอส

โดยหุ้น ACL ประเมินแนวรับที่ 4.96 บาท แนวต้านที่ 5.30 บาท, หุ้น SATTEL แนวรับที่ 11.40 บาท แนวต้านที่ 13.00 บาท และหุ้น TMB ประเมินแนวรับที่ 2.02 บาท แนวต้านที่ 2.20 บาท

* แนะระวังหุ้นเล็กความเสี่ยงสูง
นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ เปิดเผยว่า ยังไม่แนะนำให้เข้าไปลงทุนในหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดเล็กในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยและช่วงที่หลักทรัพย์ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่พักฐาน เนื่องจากความเสี่ยงสูง อีกทั้งยังไม่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีรองรับการปรับเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นเก็งกำไรอีกด้วย

"ปัจจัยการเมืองเริ่มนิ่งก็ต้องยอมรับว่าส่งผลบวกต่อตลาดฯ พอสมควร แต่ยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะต้องดูปัจจัยภายนอกประเทศด้วย ทั้งตลาดหุ้นจีนที่ผันผวนขึ้นลงแรงในช่วงนี้และอัตราเงินเฟ้อของอเมริกาด้วย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน" นางสาวจิตติมา กล่าว

อย่างไรก็ตาม แนะนำนักลงทุนเลือกซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานและโรงไฟฟ้า เพราะมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีและมีรายได้ที่สม่ำเสมอไม่ผันผวนตามปัจจัยลบรอบด้าน โดยเลือกซื้อลงทุนในหุ้น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO, บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH

โดย PTT ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 258 บาท/หุ้น, PTTEP ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 102 บาท/หุ้น, TOP ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 80 บาท/หุ้น, EGCO ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 113 บาท/หุ้น, GLOW ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 34.75 บาท และ RATCH ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 48 บาท/หุ้น


[/color:fce10ec524">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com