May 5, 2024   4:22:57 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 05/06/2007 @ 10:42:21
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.เกียรตินาคินแนะนำถือ SATTELราคาเป้าหมาย 13.30 บาท
SATTEL เตรียมนำเงินบางส่วนจากการขายหุ้นในบริษัทย่อยไปชำระคืนหนี้ระยะยาวบางส่วนส่งผลให้ความสามารถในการชำระหนี้ และกระแสเงินสดมีแนวโน้มดีขึ้น อย่างไรก็ดีเราเห็นว่าความสามารถในการเพิ่มกำไรอย่างต่อเนื่องของ SATTEL ยังมีความเสี่ยงจากตลาดIPSTAR ที่ล่าช้า โดยเฉพาะลูกค้าหลักอย่างจีน และอินเดีย ตามแผนการขายหุ้นดังกล่าวSATTEL เตรียมนำเงินส่วนหนึ่งไปชำระคืนเงินกู้ระยะยาวบางส่วนก่อนกำหนด ส่วนเงินที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับผลิตอุปกรณ์รับสัญญาณ IPSTAR อย่างไรก็ดี SATTELยังไม่ให้ข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับแผนชำระหนี้ระยาวบางส่วน โดย ณ 1Q/50 SATTEL มียอดหนี้รวม 15,861 ล้านบาท เป็นหนี้ระยะยาวประมาณ 15,479 ล้านบาท ขณะที่ในปี 50 - 51 SATTEL จะต้องจ่ายคืนหนี้ปกติปีละประมาณ 2,500 ล้านบาท เราประเมินอิงสมมติฐาน 80% ของจำนวนเงินดังกล่าว หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท จะนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ระยะยาวบางส่วน ส่งผลให้ในปี 50 อัตราหนี้สินต่อทุนมีแนวโน้มลดลงเป็น 0.95 เท่า จากเดิม 1.12 เท่า ขณะเดียวกันในเบื้องต้นกระแสเงินสดที่ดีขึ้น จะเพิ่มมูลค่าหุ้น SATTEL ประมาณ 1.50 บาท/หุ้น จากมูลค่าเหมาะสมปัจจุบันที่ 10.80 บาท ทั้งนี้เรายังไม่รวมประโยชน์จากการชำระคืนหนี้บางส่วนก่อนกำหนดไว้ในประมาณการ เนื่องจากต้องรอข้อมูลที่ชัดเจน ตลาดIPSTAR ในจีน ยังไม่น่าตื่นเต้น ขณะที่อินเดียอยู่ระหว่างก่อสร้างสถานีภาคพื้นดิน และเจรจากับพันธมิตรเพื่อทำตลาด IPSTAR ในอินเดียปัจจุบันตลาด IPSTAR ในจีน ถือว่าเป็นช่วงทดลองตลาด โดยมียอดส่งอุปกรณ์รับสัญญาณ (UT) lot แรกจำนวน 5,000 ตัว และเริ่มทยอยรับรู้รายได้เพียง 500 ตัว อย่างไรก็ดีการที่จากตลาดจีน ออกตัวช้า ทำให้SATTEL มีการเจรจากับ Dealer รายใหม่เพิ่มเติม เพื่อเข้ามาทำตลาดกลุ่มลูกค้าหลักที่เป็นรายย่อย รวมทั้งเตรียมขยับสู่ตลาดลูกค้าองค์กร สำหรับอินเดียอยู่ระหว่างก่อสร้างสถานีบริการภาคพื้นดิน (Gateway) 2 แห่ง โดยผู้บริหารของ SATTEL คาดว่าจะเสร็จตามกำหนดภายใน 2Q/50 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานของเรา ขณะเดียวกันก็เจรจากับพันธมิตร 2ราย เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายในอินดียควบคู่ไปด้วย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเรายังคาดว่า SATTEL จะเริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์ในอินเดียภายใน 2H/50 ทั้งนี้ประมาณการปี 50 ของเรา อิงสมมติฐานลูกค้าอินเดียและจีนจะยังไม่สร้างรายได้ให้ SATTELมากนัก ขณะที่การเติบโตของ IPSATR จะมาจากออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

บล.ซิกโก้แนะนำซื้อGSTEELราคาเป้าหมาย 1.04 บาท
ผลการดำเนินงานปกติใน1Q07A ของบริษัทที่มีกำ ไรต่ำ เพียง 189 ลบ. ลดลง 46.0%QoQมีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นราว 10.0% มาอยู่ที่ระดับ 330-350 USD/ตัน ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงจาก 12.9% ใน 4Q06A มาอยู่ที่ 8.6% ขณะที่บริษัทยังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 292 ลบ. เนื่องจากเงินบาทที่ยังคงแข็งค่า ทำให้มีกำไรสุทธิ430 ลบ. ลดลง 34.8% QoQปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยในปัจจุบันเพิ่มขึ้นจาก 1Q07Aที่ 18,800 บาท/ตันมาอยู่ที่ 20,000 บาท/ตัน หรือเพิ่มขึ้น 6.4% QoQ ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบยังคงใกล้เคียงระดับเดิมที่ 330-350 USD/ตัน ดังนั้น ส่วนต่างระหว่างราคาขายและราคาวัตถุดิบ (Spread) ใน 2Q07E น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรก แต่ผลกระทบจากฤดูกาลที่ทำให้ปริมาณขายลดลง รวมถึงการที่บริษัทมี Major Shutdown ในเดือน เม.ย. เพื่อเปลี่ยนลูกรีด จะทำให้บริษัทมีการผลิตลดลงและทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยเพิ่มขึ้น เราจึงมองว่าอัตรากำไรขั้นต้นใน 2Q07E จะไม่ปรับเพิ่มขึ้นมากนักบริษัทมีแผนที่จะเสนอแก่ผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการออกหุ้นกู้ภายในวงเงินไม่เกิน300 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อมารีไฟแนนซ์หนี้เงินกู้ ซึ่งบริษัทมีจุดมุ่งหมายหลักที่จะรีไฟแนนซ์หนี้เงินกู้ที่จะถึงกำหนดชำระในปีนี้จำนวน 120 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่หุ้นกู้ที่บริษัทมีอยู่จำนวน 170 ล้านเหรียญสหรัฐยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าจะมีแนวทางอย่างไร ซึ่งจะมีการประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวปลายเดือน มิ.ย. แต่เราเชื่อว่าค่าธรรมเนียมที่NSM ต้องจ่ายให้กับบริษัทราว 13.1 ล้านเหรียญสหรัฐ จะสามารถชดเชยกับดอกเบี้ยจ่ายของหุ้นกู้จำนวน 120 ล้านเหรียญสหรัฐนี้ได้ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิต โดยจะซื้อ Reheating Furnaceเพื่อนำ Slab คุณภาพสูงมารีด และขายให้กับกลุ่มลูกค้าในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าอย่างไรก็ดี แผนการขยายกำลังการผลิตดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จปลาย FY09E และเริ่มผลิตได้จริงตั้งแต่ FY10Eดังนั้น ผลการดำเนินงานในระยะสั้นของบริษัทยังมีข้อจำกัดในการเติบโตของรายได้และกำไร

บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อลงทุน BECราคาเป้าหมาย 25.00 บาท
คาดว่า BEC จะทำกำไรดียิ่งขึ้นไปอีกในไตรมาส 2/50 จากผลของฤดูกาลและนาทีโฆษณาช่วงละครหลังข่าวที่ขายได้มากขึ้นหลังจากขยายเวลาออกอากาศละครหลังข่าววันศุกร์-อาทิตย์จาก 1.5 เป็น 2 ชั่วโมง/วันตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ขณะที่ส่วนแบ่งเม็ดเงินโฆษณาในเดือนเมษายนก็เพิ่มขึ้นจาก 21.7% ในปีก่อนมาเป็น 25.9% เนื่องจากผลของความไม่แน่นอนในนโยบายของช่อง 9 และ TITV บริษัทได้ปรับขึ้นค่าโฆษณา 13-46% สำหรับ 3รายการนับตั้งแต่เดือนมกราคม รวมทั้งมีรายการใหม่ 2 รายการที่ดำเนินรายการโดยคุณสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา เริ่มในเดือนมีนาคมและเมษายน นอกจากนั้นผู้บริหารเชื่อว่าหากความต้องการซื้อนาทีโฆษณายังสูงอย่างต่อเนื่อง อาจจะทำให้ช่อง 3 สามารถปรับขึ้นค่าโฆษณาช่วงไพร์มไทม์ได้หลังจากไม่ได้ปรับมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546 ในขณะที่ต้นทุนรายการก็ลดต่ำลงหลังจากมีการปรับผังรายการโดยนำภาพยนตร์จีน (มีต้นทุนต่ำกว่า) มาออกอากาศแทนละครช่วงเย็นและซิทคอมในวันสุดสัปดาห์ ช่อง 3 มีแนวโน้มจะได้รับอานิสงส์จากการที่TITV ต้องกลายเป็นทีวีสาธารณะซึ่งไม่มีโฆษณา โดยเม็ดเงินโฆษณาบางส่วนน่าจะถูกโยกไปที่สถานีอื่นแทน โดยเฉพาะ Unilever ซึ่งเป็นผู้ใช้งบรายใหญ่ที่สุด (คิดเป็น 27-28% ของเม็ดเงินโฆษณาจากผู้ใช้งบ 20 รายแรก) มีการใช้งบทางช่อง 3 เพียง 20% ของงบโฆษณารวมทางโทรทัศน์ ซึ่งยังต่ำกว่าช่อง 7 และTITV ที่มีส่วนแบ่งตลาด 31% และ 30% ตามลำดับ นอกจากนั้นอุตสาหกรรมโฆษณาคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้งในช่วงปลายปีด้วย

บล.ยูไนเต็ดแนะนำซื้อเก็งกำไรราคเป้าหมาย 17.00 บาท
จากผลประกอบการใน 1Q07 ลดลง 11%YoY เนื่องจากแม้ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 6% (แม้อุตสาหกรรมลดลง 10% แต่สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้นเป็น 30% จากเดิม 27%)แต่ราคาขายสินค้ายังลดลงเหลือ 126 บาท/ตรม. (จากเดิม 130 บาท/ตรม.) ทำให้รายได้ทรงตัว และอัตรากำไรขั้นต้นลดลงเป็น 36.8% เพราะใช้กำลังการผลิตเพียง 66% (ลดสินค้าคงคลัง) แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าจะใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นใน 2Q07 และจะเต็มกำลังการผลิตใน 4Q07 โดยพยายามลดหนี้ เพื่อจะได้ลดภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นคาดวาแนวโน้มรายได้ใน 2Q07กระเตื้องขึ้น เนื่องการผลิตเริ่มใช้กำลังการผลิตมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง แม้การแข่งขันยังสูง แต่การบริหารจัดการของ DCC น่าจะทำให้ผลประกอบการใน 2H07เริ่มดีขึ้น และส่งผลให้ทั้งปีมีกำไรก็ยังโต 18%YoY ในปัจจุบัน DCC ซื้อขายกัน ณ ระดับ P/E เท่ากับ 9x ของกำไรต่อหุ้นปี 07 เราประเมินราคาเป้าหมายโดยอิงจากค่า P/Eที่ระดับ 10x มาจากค่าเฉลี่ยของ P/E Ratio ของบริษัทในกลุ่มวัสดุอุตสาหกรรม ซึ่งจะได้ราคาเป้าหมาย 17 บาท/หุ้น ซึ่งมี Upside gain เพียง 15% แต่จากความสามารถการทำกำไร(ROE)ของ DCC สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มจึงน่าจะซื้อขายที่ P/E Ratio สูงกว่าค่าเฉลี่ย ประกอบกับแนวโน้ม 2H07 สดใสขึ้น

ที่มา ข่าวหุ้น[/color:531330ac3f">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com