หุ้นไทยเข้าภาวะกระทิงดุ ทุนนอกทะลัก 6 วันทำการดัน SET INDEX ทะยานเกือบ 52 จุด หุ้นบิ๊กแคปแรงจัดรับอานิสงส์ทุนต่างชาติไหลเข้าตั้งแแต่ต้นปีถึงปัจจุบันซื้อสุทธิ 8.2 หมื่นลบ. ดันราคาหุ้นใหญ่พุ่งเกินเป้าหมายปีนี้ ทั้ง PTT-PTTEP-TOP-BANPU-EGCO-STEC โบรกเกอร์ตบเท้าปรับประมาณการให้วุ่น ด้านกลุ่มหลักทรัพย์รับผลดีด้วย ฟินันซ่า-บัวหลวง เพิ่มน้ำหนักการลงทุน หลังตลาดหุ้นคึก
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังจากวันที่ 30 พ.ค.ซึ่งศาลได้ตัดสินคดียุบพรรคการเมืองเรียบร้อย โดยศาลมีคำสั่งไม่ยุบพรรคประชาธิปปัตย์ แต่มีคำสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิ์ทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคทั้ง 111 คน แม้ว่าปัญหาต่างๆภายหลังจากที่ศาลฯมีคำสั่งยังอิรุงตุงหนังไม่เลิก แต่ดูเหมือนว่าคำสั่งครั้งนี้จะทำให้สถานการณ์การเมืองของไทยลดอุณภูมิความร้อนแรงลงได้บ้าง และคลายความกังวลลงระดับหนึ่งว่าการเลือกตั้งที่ พล.อ.สรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีลั่นวาจาว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 16 ธันวาคมนั้นเกิดขึ้นแน่นอน เพราะยังมีพรรคการเมืองหลงเหลืออยู่ในสารบบ
และจากบรรยากาศการเมืองที่คลี่คลายลงนั้น ส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างมาก โดยตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา( 25 พ.ค.- 4 มิ.ย.50) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปรับตัวขึ้นแรงมาก โดยเมื่อวันที่ 25 พ.ค.50 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 719.14 จุด เปรียบเทียบกับวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 770.14 จุด เพิ่มขึ้น จนนักวิเคราะห์หลายสำนักออกมาปรับประมาณการณ์เป้ามาณ SET INDEX สิ้นปีนี้แทบไม่ทัน หลายคนมองว่าสิ้นปีนี้ SET INDEX จะไปถึง 800 จุด แต่ดูเหมือนว่า SET INDEX คงไม่รอให้ถึงปลายปี เพราะเวลานี้ล่ำๆว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะทยานขึ้นไปทดสอบระดับ 800 จุดในเวลาอันใกล้แน่นอน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า นักวิเคราะห์หลายสำนักคงต้องมีการปรับประมาณการเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นปีนี้ใหม่เป็นแน่
สาเหตุหลักที่บรรดานักวิเคราะห์มองว่า เป็นปัจจัยที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงนั้น เนื่องจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 8.21 หมื่นล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติก็ยังนิยมชมชอบหุ้นบิ๊กแคป ส่งผลให้ราคาหุ้นบิ๊กแคปขนาดใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเปรียบเทียบช่วงเวลาสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ SET INDEX ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น เราจะพบว่า ราคาหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่หลายตัวปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น PTT เมื่อวันที่ 25 พ.ค.50ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 242 บาท เปรียบเทียบกับวานนี้( 4 มิ.ย.50) ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 270 บาท เพิ่มขึ้น 28 บาท หรือ +11.57% PTTEP เมื่อวันที่ 25 พ.ค.50 ปิดที่ระดับ 99.50 บาท เปรียบเทียบกับวานนี้ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 109 บาท เพิ่มขึ้น 9.50 บาท หรือ +9.54%
TOP เมื่อวันที่ 25 พ.ค.50 ปิดตลาดที่ระดับ 66.50 บาท เปรียบเทียบกับวานนี้ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 72 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท หรือ +8.27% BANPU เมื่อวันที่ 25 พ.ค.50 ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 216 บาท เปรียบเทียบกับราคาวานนี้ปิดตลาดที่ระดับ 250 บาท เพิ่มขึ้น 34 บาท หรือ +15.25% EGCO เมื่อวันที่ 25 พ.ค.50 ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 103 บาท เมื่อเปรียบกับวานนี้ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 108 บาท เพิ่มขึ้น 5 บาท หรือ +4.76% และ STEC เมื่อวันที่ 25 พ.ค.50 ปิดตลาดที่ระดับ 4.94 บาท เปรียบเทียบกับวานนี้ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 6.40 บาท เพิ่มขึ้น 1.46 บาท หรือ +29.55%
ซึ่งจะพบว่าราคาหุ้นบิ๊กแคปส่วนใหย่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบางตัวได้เกินราคาพื้นฐานปีนี้ที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ ทำให้โบรกเกอร์หลายแห่งเตรียมปรับประมาณการณราคาเป้าหมายปีนี้ใหม่ เพราะบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งมี Value ้อนอยู่ไว้มากมาย เมื่อสถานการณ์การเมืองคลี่คลายส่งผลให้ Value mซ้อนอยู่เริ่มสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน การลงทุนที่ยังเก้ๆกังๆอยู่ก็มีสัญญาณของการเดินหน้า ซึ่งทาง eFinanceThai.com ได้รวบรวมบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ที่ปรับประมาณการณ์หุ้นบิ๊กแคปหลายตัวมาฝาก
***PTT กระฉูด หลังบล.บัวหลวง ปรับประมาณการราคาเหมาะสมใหม่เป็น 300 บ.
บล.บัวหลวง ระบว่า มีการปรับประมาณการราคาเหมาะสมหุ้น PTT ใหม่เป็น 300 บาท จาก 254 บาท เนื่องจากประเมินว่าจะได้รับผลบวกจากการรับรู้กำไรจากบริษัทในเครือโดยเฉพาะบริษัทที่ทำธุรกิจโรงกลั่น ที่ปัจจุบันค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นแตะระดับ 10 เหรียญต่อบาร์เรลแล้ว ขณะที่วานนี้ ราคา PTT ปิดตลาดที่ระดับ 270 บาท เพิ่มขึ้น 12 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,149.05 ล้านบาท
***บล.กิมเอ็ง ปรับราคาเป้าหมาย TOP ระยะสั้นเป็น 75 บาท ด้าน DBS เตรียมปรับเพิ่มเป้าหมายตาม
ฝ่ายวิเคราะห์บล.กิมเอ็ง ระบุว่า ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าบริษัทจะทำกำไรปกติทั้งปีในปีนี้ได้ 15,296 ล้านบาท คิดเป็นกำไรปกติ 7.50 บาท/หุ้น เติบโต 21% yoy ซึ่งเป็นผลมาจากค่าการกลั่นปกติเฉลี่ยที่ดีกว่าปีก่อนและผลกำไรที่ดีขึ้นของบริษัทลูก จากปัจจัยบวกต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น รวมถึงแนวโน้มในระยะสั้นที่ยังคงดีอยู่ ทำให้เราปรับวิธีประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัท โดยให้ PER เป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า (จากเดิมที่ 9 เท่า) ซึ่งยังคงเป็นระดับ PER ที่ต่ำกว่าโรงกลั่นในภูมิภาคซึ่งซื้อขายที่ PER 12-13 เท่า
จากผลดังกล่าวทำให้ราคาที่เหมาะสมของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นจาก 67.50 บาท เป็น 75 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันยังคงไม่แพงนักซื้อขายอยู่ที่ PER 8.9 เท่า, P/BV 1.8 เท่า, อัตราเงินปันผล 5.2% และมี upside อยู่ 12% จากราคาที่เหมาะสมใหม่ของเรา เราคงคำแนะนำ ซื้อลงทุน สำหรับ TOP
ด้านนางอาภาภรณ์ แสวงพรรค รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าในปีนี้เตรียมที่จะปรับประมาณการผลประกอบการ ของบริษัท ไทยออยส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ใหม่ หลังจากที่ค่าการกลั่น เริ่มทรงตัวอยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกันแนวโน้มของธุรกิจยังเติบโตในทิศทางที่ดีอีกด้วย ส่วนกรณีที่ TOP มีแผนที่จะปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในปีนี้ ประเมินว่าไม่มีผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐาน เพราะจะส่งผลดีในอนาคตและจะได้รับประโยชน์จากการขยายกำลังการผลิต จึงปรับคำแนะนำจากถือ เป็น Fully Valued แม้ว่าแนวโน้มของธุรกิจยังสดใส
การชะลอการลงทุนโรงงานเอทานอล ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐาน เพราะแนวโน้มของธุรกิจโรงกลั่นในปีนี้ก็ยังมีโอกาสที่จะเติบโตในทิศทางที่ดี จึงเตรียมที่จะปรับประมาณการใหม่ นอกจากนี้ยังถือว่า TOP เป็นหุ้นเด่น จึงแนะนำซื้อลงทุน มองว่าหากดัชนีตลาดหุ้นปรับขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 770 จุด ราคาหุ้น TOP มีโอกาสไปถึง 75 บาท นางอาภาภรณ์ กล่าว
***บล.ฟินันซ่า เพิ่มเป้าหมาย PTTEP ปีนี้เป็น 125 บาท
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันซ่า ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี 07 เป็นต้นมาผลการสำรวจขุดและเจาะแหล่งก๊าซ 7 หลุม ในแปลง M9 ซึ่งเป็นแหล่งสัมปทานก๊าซในพม่าพบก๊าซธรรมชาติจำนวน 6 หลุม คิดเป็นอัตราการไหลของก๊าซราว 322 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และยังเหลืออีก 3 หลุมที่ยังไม่ได้เจาะสำรวจแต่เชื่อว่าน่าจะประสบความสำเร็จเหมือนเช่นหลุมที่ผ่านมาและมีอัตราการไหวไม่ต่ำกว่า 15 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งเราประเมินเป็นปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติคราวๆซึ่งน่าจะมีปริมาณสำรองราว 1.6 ล้านลูกบาศก์ฟุต และจะส่งผลให้ปริมาณสำรองก๊าซในปี 07 เพิ่มขึ้นอีกราว 17.51%
หลังจากการวิเคราะห์ความสำเร็จในการขุดเจาะสำรวจแหล่งก๊าซในพม่าแปลง M9 เราจะปรับประมาณการ NAV เพิ่มขึ้นอีก 12 บาท/หุ้น จากปริมารการสำรองที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้เราได้ปรับสมมุติฐานราคาน้ำมันดูไบเพิ่มขึ้นจาก US$62 เป็น US$64/บาร์เรล ส่งผลให้มูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 125 บาท/หุ้น(เดิม 99 บท)