May 5, 2024   11:20:16 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > หุ้นไทยเข้าภาวะกระทิงดุ....ทุนนอกเดือด ทลายเป้าบิ๊กแคปกระจุย
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 04/06/2007 @ 23:34:49
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

หุ้นไทยเข้าภาวะกระทิงดุ ทุนนอกทะลัก 6 วันทำการดัน SET INDEX ทะยานเกือบ 52 จุด หุ้นบิ๊กแคปแรงจัดรับอานิสงส์ทุนต่างชาติไหลเข้าตั้งแแต่ต้นปีถึงปัจจุบันซื้อสุทธิ 8.2 หมื่นลบ. ดันราคาหุ้นใหญ่พุ่งเกินเป้าหมายปีนี้ ทั้ง PTT-PTTEP-TOP-BANPU-EGCO-STEC โบรกเกอร์ตบเท้าปรับประมาณการให้วุ่น ด้านกลุ่มหลักทรัพย์รับผลดีด้วย ฟินันซ่า-บัวหลวง เพิ่มน้ำหนักการลงทุน หลังตลาดหุ้นคึก

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังจากวันที่ 30 พ.ค.ซึ่งศาลได้ตัดสินคดียุบพรรคการเมืองเรียบร้อย โดยศาลมีคำสั่งไม่ยุบพรรคประชาธิปปัตย์ แต่มีคำสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิ์ทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคทั้ง 111 คน แม้ว่าปัญหาต่างๆภายหลังจากที่ศาลฯมีคำสั่งยังอิรุงตุงหนังไม่เลิก แต่ดูเหมือนว่าคำสั่งครั้งนี้จะทำให้สถานการณ์การเมืองของไทยลดอุณภูมิความร้อนแรงลงได้บ้าง และคลายความกังวลลงระดับหนึ่งว่าการเลือกตั้งที่ พล.อ.สรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีลั่นวาจาว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 16 ธันวาคมนั้นเกิดขึ้นแน่นอน เพราะยังมีพรรคการเมืองหลงเหลืออยู่ในสารบบ

และจากบรรยากาศการเมืองที่คลี่คลายลงนั้น ส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างมาก โดยตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา( 25 พ.ค.- 4 มิ.ย.50) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปรับตัวขึ้นแรงมาก โดยเมื่อวันที่ 25 พ.ค.50 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 719.14 จุด เปรียบเทียบกับวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 770.14 จุด เพิ่มขึ้น จนนักวิเคราะห์หลายสำนักออกมาปรับประมาณการณ์เป้ามาณ SET INDEX สิ้นปีนี้แทบไม่ทัน หลายคนมองว่าสิ้นปีนี้ SET INDEX จะไปถึง 800 จุด แต่ดูเหมือนว่า SET INDEX คงไม่รอให้ถึงปลายปี เพราะเวลานี้ล่ำๆว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะทยานขึ้นไปทดสอบระดับ 800 จุดในเวลาอันใกล้แน่นอน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า นักวิเคราะห์หลายสำนักคงต้องมีการปรับประมาณการเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นปีนี้ใหม่เป็นแน่

สาเหตุหลักที่บรรดานักวิเคราะห์มองว่า เป็นปัจจัยที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงนั้น เนื่องจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 8.21 หมื่นล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติก็ยังนิยมชมชอบหุ้นบิ๊กแคป ส่งผลให้ราคาหุ้นบิ๊กแคปขนาดใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเปรียบเทียบช่วงเวลาสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ SET INDEX ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น เราจะพบว่า ราคาหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่หลายตัวปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น PTT เมื่อวันที่ 25 พ.ค.50ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 242 บาท เปรียบเทียบกับวานนี้( 4 มิ.ย.50) ราคาหุ้นปิดที่ระดับ 270 บาท เพิ่มขึ้น 28 บาท หรือ +11.57% PTTEP เมื่อวันที่ 25 พ.ค.50 ปิดที่ระดับ 99.50 บาท เปรียบเทียบกับวานนี้ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 109 บาท เพิ่มขึ้น 9.50 บาท หรือ +9.54%

TOP เมื่อวันที่ 25 พ.ค.50 ปิดตลาดที่ระดับ 66.50 บาท เปรียบเทียบกับวานนี้ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 72 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท หรือ +8.27% BANPU เมื่อวันที่ 25 พ.ค.50 ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 216 บาท เปรียบเทียบกับราคาวานนี้ปิดตลาดที่ระดับ 250 บาท เพิ่มขึ้น 34 บาท หรือ +15.25% EGCO เมื่อวันที่ 25 พ.ค.50 ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 103 บาท เมื่อเปรียบกับวานนี้ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 108 บาท เพิ่มขึ้น 5 บาท หรือ +4.76% และ STEC เมื่อวันที่ 25 พ.ค.50 ปิดตลาดที่ระดับ 4.94 บาท เปรียบเทียบกับวานนี้ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 6.40 บาท เพิ่มขึ้น 1.46 บาท หรือ +29.55%

ซึ่งจะพบว่าราคาหุ้นบิ๊กแคปส่วนใหย่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบางตัวได้เกินราคาพื้นฐานปีนี้ที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ ทำให้โบรกเกอร์หลายแห่งเตรียมปรับประมาณการณราคาเป้าหมายปีนี้ใหม่ เพราะบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งมี Value ้อนอยู่ไว้มากมาย เมื่อสถานการณ์การเมืองคลี่คลายส่งผลให้ Value mซ้อนอยู่เริ่มสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน การลงทุนที่ยังเก้ๆกังๆอยู่ก็มีสัญญาณของการเดินหน้า ซึ่งทาง eFinanceThai.com ได้รวบรวมบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ที่ปรับประมาณการณ์หุ้นบิ๊กแคปหลายตัวมาฝาก

***PTT กระฉูด หลังบล.บัวหลวง ปรับประมาณการราคาเหมาะสมใหม่เป็น 300 บ.

บล.บัวหลวง ระบว่า มีการปรับประมาณการราคาเหมาะสมหุ้น PTT ใหม่เป็น 300 บาท จาก 254 บาท เนื่องจากประเมินว่าจะได้รับผลบวกจากการรับรู้กำไรจากบริษัทในเครือโดยเฉพาะบริษัทที่ทำธุรกิจโรงกลั่น ที่ปัจจุบันค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นแตะระดับ 10 เหรียญต่อบาร์เรลแล้ว ขณะที่วานนี้ ราคา PTT ปิดตลาดที่ระดับ 270 บาท เพิ่มขึ้น 12 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,149.05 ล้านบาท

***บล.กิมเอ็ง ปรับราคาเป้าหมาย TOP ระยะสั้นเป็น 75 บาท ด้าน DBS เตรียมปรับเพิ่มเป้าหมายตาม

ฝ่ายวิเคราะห์บล.กิมเอ็ง ระบุว่า ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าบริษัทจะทำกำไรปกติทั้งปีในปีนี้ได้ 15,296 ล้านบาท คิดเป็นกำไรปกติ 7.50 บาท/หุ้น เติบโต 21% yoy ซึ่งเป็นผลมาจากค่าการกลั่นปกติเฉลี่ยที่ดีกว่าปีก่อนและผลกำไรที่ดีขึ้นของบริษัทลูก จากปัจจัยบวกต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น รวมถึงแนวโน้มในระยะสั้นที่ยังคงดีอยู่ ทำให้เราปรับวิธีประเมินมูลค่าหุ้นของบริษัท โดยให้ PER เป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า (จากเดิมที่ 9 เท่า) ซึ่งยังคงเป็นระดับ PER ที่ต่ำกว่าโรงกลั่นในภูมิภาคซึ่งซื้อขายที่ PER 12-13 เท่า

จากผลดังกล่าวทำให้ราคาที่เหมาะสมของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นจาก 67.50 บาท เป็น 75 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันยังคงไม่แพงนักซื้อขายอยู่ที่ PER 8.9 เท่า, P/BV 1.8 เท่า, อัตราเงินปันผล 5.2% และมี upside อยู่ 12% จากราคาที่เหมาะสมใหม่ของเรา เราคงคำแนะนำ ซื้อลงทุน สำหรับ TOP

ด้านนางอาภาภรณ์ แสวงพรรค รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าในปีนี้เตรียมที่จะปรับประมาณการผลประกอบการ ของบริษัท ไทยออยส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ใหม่ หลังจากที่ค่าการกลั่น เริ่มทรงตัวอยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกันแนวโน้มของธุรกิจยังเติบโตในทิศทางที่ดีอีกด้วย ส่วนกรณีที่ TOP มีแผนที่จะปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในปีนี้ ประเมินว่าไม่มีผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐาน เพราะจะส่งผลดีในอนาคตและจะได้รับประโยชน์จากการขยายกำลังการผลิต จึงปรับคำแนะนำจากถือ เป็น Fully Valued แม้ว่าแนวโน้มของธุรกิจยังสดใส

การชะลอการลงทุนโรงงานเอทานอล ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐาน เพราะแนวโน้มของธุรกิจโรงกลั่นในปีนี้ก็ยังมีโอกาสที่จะเติบโตในทิศทางที่ดี จึงเตรียมที่จะปรับประมาณการใหม่ นอกจากนี้ยังถือว่า TOP เป็นหุ้นเด่น จึงแนะนำซื้อลงทุน มองว่าหากดัชนีตลาดหุ้นปรับขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 770 จุด ราคาหุ้น TOP มีโอกาสไปถึง 75 บาท นางอาภาภรณ์ กล่าว

***บล.ฟินันซ่า เพิ่มเป้าหมาย PTTEP ปีนี้เป็น 125 บาท

บทวิเคราะห์ บล.ฟินันซ่า ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี 07 เป็นต้นมาผลการสำรวจขุดและเจาะแหล่งก๊าซ 7 หลุม ในแปลง M9 ซึ่งเป็นแหล่งสัมปทานก๊าซในพม่าพบก๊าซธรรมชาติจำนวน 6 หลุม คิดเป็นอัตราการไหลของก๊าซราว 322 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และยังเหลืออีก 3 หลุมที่ยังไม่ได้เจาะสำรวจแต่เชื่อว่าน่าจะประสบความสำเร็จเหมือนเช่นหลุมที่ผ่านมาและมีอัตราการไหวไม่ต่ำกว่า 15 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งเราประเมินเป็นปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติคราวๆซึ่งน่าจะมีปริมาณสำรองราว 1.6 ล้านลูกบาศก์ฟุต และจะส่งผลให้ปริมาณสำรองก๊าซในปี 07 เพิ่มขึ้นอีกราว 17.51%

หลังจากการวิเคราะห์ความสำเร็จในการขุดเจาะสำรวจแหล่งก๊าซในพม่าแปลง M9 เราจะปรับประมาณการ NAV เพิ่มขึ้นอีก 12 บาท/หุ้น จากปริมารการสำรองที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้เราได้ปรับสมมุติฐานราคาน้ำมันดูไบเพิ่มขึ้นจาก US$62 เป็น US$64/บาร์เรล ส่งผลให้มูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 125 บาท/หุ้น(เดิม 99 บท)


 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 04/06/2007 @ 23:36:58 :
***บล.เกียรตินาคิน เตรียมปรับประมาณการ BANPU เพิ่มขึ้นหลังอนาคตแจ่ม

บทวิเคราะห์บล.เกียรตินาคิน ระบว่า แนะนำซื้อ สำหรับ BANPU แม้ว่าระดับราคาหุ้นปัจจุบันยังสูงกว่าที่เราคาดหมายไว้ แต่เราเชื่อว่าบริษัทยังมีมูลค่าซ้อมอยู่จากหลายโครงการที่คาดว่าจะเข้ามาอนาคต ซึ่งเรายังไม่ได้รวมอยู่ในประมาณการ

1. การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอินโดนีเซีย (JSX) ที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 2550 นี้ ซึ่งเรามองว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับหุ้นของ BANPU ได้ประมาณ 30 ? 45 บาทต่อหุ้น

2. การเข้าประมูลโรงไฟฟ้าใน IPP รอบใหม่ของ RATCH ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 15% ซึ่งหาก RATCH ชนะการประมูลโรงไฟฟ้าได้ทุกๆ 700 เมกะวัตต์ จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ BANPU อีก 6 บาทต่อหุ้น ตามสัดส่วนการลงทุน

3. โครงการโรงไฟฟ้าหงษ์สาในประเทศลาว ขนาดกำลังการผลิต 1,800 เมกะวัตต์ เราคาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ BANPU ได้อีก 18 บาทต่อหุ้น (สมมติฐาน BANPU
เข้าถือหุ้นในโครงการดังกล่าว 35%) เราให้น้ำหนักในโครงการดังกล่าวเนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะสามารถดำเนินการผลิตในอนาคต แม้ว่าปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษา เนื่องจากสอดคล้องกับแผนพัฒนาธุรกิจไฟฟ้า ที่จะมีการนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ BANPU มีความได้เปรียบเนื่องจากปัจจุบันเป็นผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าถ่านหิน BLCP ร่วมกับทาง EGCO

เราประเมินมูลค่าของโครงการในอนาคตของบริษัทแบบ Conservative ซึ่งหากรวมทุกโครงการในอนาคต จะทำให้ราคาที่เหมาะสมของ BANPU เพิ่มขึ้นเป็น 270 ? 284 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้เรามองว่าบริษัทมีแนวโน้มที่จะเข้าซื้อเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเราคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่ BANPU นำบริษัทในกลุ่มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย ซึ่งจะทำให้มูลค่าหุ้นของ BANPUเพิ่มขึ้น

***บล.กรุงศรีฯ ดีดลูกคิด EGCO ได้มูลค่าเพิ่มสูงสุด 10.31 บาทจากการร่วมประมูล IPP

จากรณีที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติอนุมัติแผน PDP ในปี 50-64 พร้อมกันนี้คาดว่าจะออกประกาศเชิญชวนให้ประมูลรับซื้อไฟฟ้าจาก
ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) จำนวน 3,200 เมกะวัตต์ ได้ในเดือน มิ.ย.50 และเปิดรับข้อเสนอภายใน ต.ค.50 โดยคาดว่าจะสามารถลงนามการซื้อขายไฟฟ้าได้ราว มิ.ย.51 เพื่อส่งไฟเข้าระบบในปี 55-57

บทวิเคราะห์บล.กรุงศรีอยุธยา ระบุว่า ทั้งนี้การที่กพช. มีมติไม่ให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ตลอดจนบริษัทลูกที่กฟผ.ถือหุ้นเกิน 50% เข้าร่วมประมูล IPP ดังกล่าว ไม่มีผลกระทบกับ EGCO และ RATCH ในการเข้าประมูลเนื่องจากกฟผ. ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวในสัดส่วน 25% และ 45% ตามลำดับ น้อยกว่าเงื่อนไขที่ระบุไว้ อีกทั้งส่วนของกฟผ. เองก็จะได้รับการจัดสรรจำนวนเมกะวัตต์ของโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเข้าไปดำเนินการ (แยกต่างหากจากจำนวน 3,200 เมกะวัตต์ ของเอกชนที่ระบุข้างต้น)

บล.กรุงศรีอยุธยาระบุว่า คาดการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชุมในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า หรือ Energy Tax ถือเป็นการดำเนินการเชิงรุก เพื่อลดแรงต่อต้านจากชุมชนในพื้นที่
ซึ่งจะเป็นผลดีกับแผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในอนาคต โดยคาด Energy Tax ดังกล่าวไม่ได้เป็นภาระกับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนเนื่องจากอัตราการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนในช่วงที่โรงไฟฟ้าจ่ายไฟเข้าระบบจะอยู่ในอัตราประมาณ 1-2 สต./หน่วย หรือประมาณ 50-100 ล้านบาท/ปี

คาดว่าผู้ผลิต IPP ส่วนใหญ่จะยื่นประมูลโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ในการประมูลรอบแรก อาทิ EGCO,RATCH, TOP, GLOW, TECO (บริษัทย่อยของ RATCH) และคาดเป็นการยื่นประมูลโรงไฟฟ้าในโซนภาคตะวันออก และภาคกลางเป็นหลัก เนื่องจากในโซนดังกล่าวมีความพร้อมของระบบสายส่ง อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายตัวแปรนอกเหนือจากความพร้อมของระบบสายส่งที่จะเป็นองค์ประกอบในการคัดเลือกผู้ชนะประมูล

จากกรณีศึกษา หากชนะประมูลโรงไฟฟ้า IPP ใหม่ขนาด 800 เมกะวัตต์ (ภายใต้สมมติฐานของ Project IRR ที่ 12-15%, ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ US$0.75
ล้าน/1 เมกะวัตต์,อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ 3 : 1 เท่า, WACC 11%, LT-growth Rate 1%) จะเพิ่มมูลค่าพื้นฐานให้กับผู้ผลิต IPP ดังนี้

การเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิต 800 เมกะวัตต์ ต่อการเปลี่ยนแปลงของ Fair Price
มูลค่าเพิ่ม(บ.) มูลค่าเพิ่ม(%)ราคาเหมาะสมปีนี้(บ.) 12%IRR 15%IRR 12%IRR 15%IRR
EGCO 118 10.31 14.97 8.8 12.7
RATCH 47 3.47 5.43 7.9 11.5
GLOW 30 2.41 3.50 8.1 11.7
TOP 74 2.66 3.86 3.6 5.2

ที่มา : บล.กรุงศรีอยุธยา

***บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ปรับคำแนะนำ STEC เป็นซื้อให้เป้าหมาย 5.93 บาท

บทวิเคราะห์บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า STEC มีโอกาสสูงที่จะได้งานที่สิงคโปร์ของ Exxon Chemical มูลค่า 9 พันล้านบาท และงานที่มัลดีฟ 1,050 ล้านบาท หลังงานในประเทศซบเซาลง อีกทั้งการที่รัฐเร่งผลักดันเปิดประมูลงานสายสีแดงเส้นแรกคือ บางซื่อ-ตลิ่งชัน ภายในปีนี้ STEC มีโอกาสสูงที่จะได้งานนี้ เพราะมีประสบการณ์ในเส้นที่ทำอยู่ในปัจจุบันคือ พญาไท-สุวรรณภูมิ

ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ได้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 50 และ 51 ลดลง 15% และ 7% ตามลำดับ เนื่องจากแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นที่น่าจะทำได้น้อยลง ตามการปรับขึ้นของวัสดุก่อสร้างและค่าแรงงานที่มีความชำนาญ แต่ลักษณะธุรกิจของบริษัทมีการฟื้นตัวดี คือคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้เป็น 320 ล้านบาท จากปี 49 ที่ขาดทุนสุทธิถึง 1,780 ล้านบาท และปี 51 ที่กำไรสุทธิเป็น 432 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 35% y-o-y

โดยฝ่ายวิเคราะห์ คงคำแนะนำ ซื้อ ปรับราคาพื้นฐานปี 50 ขึ้น ด้วย P/E ปี 50 ที่ 25.0 เท่า จากเดิมที่ใช้ 20.0 เท่า เพราะเห็นว่าปัจจัยพื้นฐาน STEC ดี เทียบกันในกลุ่มผู้รับเหมาใหญ่ ราคาปิดมีส่วนเพิ่ม 16.3% จากราคาพื้นฐาน บริษัทมีแผนที่จะนำส่วนเกินมูลค่าหุ้นมาล้างขาดทุนสะสม เพื่อจ่ายเงินปันผลในงวดปี 50 ได้ คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปีนี้เป็น 2.3% รวมผลตอบแทนเป็น 18.6% บริษัทมีข้อดีคือ มูลค่างานในมือสูง รองรับการรับรู้รายได้ในปีนี้ถึงปี 52


***บล.ฟินันซ่า หุ้นไทยโดนกระทิงเข้าสิง

บทวิเคราะห์บล.ฟินันซ่า ระบุว่า ตลาดหุ้นวานนี้สร้างความประหลาดใจให้กับเราอย่างมาก SET เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดบวก 17 จุด มาอยู่ที่ 753.93 จุด สูงสุดใน รอบ 1 ปี เช่นเดียวกับวอลุ่มที่เข้ามาถล่มทลายถึง 4.04 หมื่นลบ. ดันให้หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์เขียวยกแผง เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ (70-80%) มาจากค่าคอมมิชชั่น จริงๆแล้วสัญญาณตลาดกระทิงของปีนี้เริ่มปรากฎมาตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่วอลุ่มเฉลี่ยต่อวัน (ADT: Average Daily Turnover) พุ่งขึ้น 56% MoM เป็น 1.53 หมื่นลบ. และฝรั่งซื้อสุทธิรวม 2.43 หมื่นลบ.

และล่าสุดแค่วันแรกของเดือนมิ.ย. ฝรั่งก็เก็บเข้าพอร์ตอีก 8.14 พันลบ. ส่งผลให้สะสมตั้งแต่ต้นปี (Ytd) ฝรั่งซื้อสุทธิไปแล้ว 7.48 หมื่นลบ. และเราเชื่อว่ายังมีโมเมนตัมการซื้ออย่างต่อเนื่องเข้ามาอีกในช่วงเวลาที่เหลือของปี เพราะทั้ง Liquidity Flow & การเมืองของเราที่คลี่คลาย มีสิทธิที่การซื้อสุทธิของฝรั่งในปีนี้จะเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (ปี 05 ฝรั่งเคยซื้อสุทธิถึง 1.2 แสนลบ.)จะเห็นได้ว่าหาก ADT ของปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น~ 2 หมื่นลบ./วัน (+23% YoY จากปี 06 ที่ 1.62 หมื่นลบ.) จะกลับไปใกล้เคียงกับช่วงตลาดกระทิง (Bullish Market) ปี 03-04 (ดูตาราง) แต่อย่างไรก็ตาม ADT สะสมตั้งแต่ต้นปี(Ytd จนถึง 1 มิ.ย.) อยู่ที่เพียง 1.24 หมื่นลบ. หมายความว่า ADT ที่เหลือของปีนี้ต้องทำได้วันละ~ 2.5 หมื่นลบ.เพื่อให้เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 2 หมื่นลบ.

อย่างไรก็ดี หาก ADT เพิ่มขึ้น 5 พันลบ. จากกรณีฐาน (base case) ของเราที่1.45 หมื่นลบ. เป็น 1.95 หมื่นลบ. จะทำให้ EPS & Target Price ของหุ้นหลักทรัพย์ที่เราดูแล 5 บริษัท ขยับขึ้น20-35% โดยหากเทียบราคาปิดเมื่อวันศุกร์ที่พุ่งขึ้นมาแล้ว พบว่า BLS เหลือ Upside สูงสุด คือ 18% จากราคาเป้าหมายใหม่ที่ 15.61 บาท/หุ้น แนะนำ ?ซื้อ? ในขณะที่ BSEC & PHATRA ตามมาเป็นอันดับ 2 & 3ตามลำดับ

แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับ BSEC ที่เข้าตลาดฯมาครบ 6 เดือนแล้ว อาจมีแรงกดดันจากแรงขายของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง BFIT ที่สามารถนำหุ้นมาขายได้ในรอบแรกนี้ 25% หรือคิดเป็น 130 ล้านหุ้น (ซึ่งต้นทุนอยู่ที่พาร์คือ 1บาท) แนะนำแค่ ?ถือ?

ส่วน PHATRA ที่ดูโดดเด่นมากในช่วงตลาดขาขึ้น เพราะได้ 2 เด้ง คือทั้งมาร์เก็ตแชร์เพิ่ม (จากแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันทั้งใน & ตปท. ซึ่งถือเป็นฐานลูกค้าหลักของ PHATRA) และมีลุ้นงาน IB กลับมาคึก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งดีลใหญ่ๆ ก็มักเลือกใช้บริการ PHATRA) โดยประเมินราคาเป้าหมายใหม่ได้ 44.13 บาท/หุ้น แต่อาจมีโมเมนตัมให้ไปได้ไกลกว่านี้ จากเหตุผล 2 เด้งที่กล่าวมาข้างต้น เพราะฉนั้นแนะนำ ?ซื้อเก็งกำไร?

ส่วนที่เหลืออีก 2 บริษัทคือ ASP & KEST ซึ่งเป็นหุ้นยอดนิยมเพราะเป็นโบรกเกอร์ Top 3 ที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดแต่ราคาปัจจุบันก็ยังสูงกว่าราคาเป้าหมายใหม่ที่ปรับขึ้นแล้วของเราคือ 2.70 บาท/หุ้น สำหรับ ASP และ15.81 บาท/หุ้น กรณี KEST ดังนั้นเราแนะนำแค่ ?ถือ? หรือหากคิดมุมกลับคือราคาตลาดปัจจุบันของ ASP & KEST สะท้อนความคาดหวังว่าวอลุ่มเฉลี่ยของปีนี้ที่ 2.39 หมื่นลบ. & 2.52 หมื่นลบ. ตามลำดับ

***BLS เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นหลักทรัพย์

บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า มุมมองเชิงบวกในครึ่งปีหลังจากภาวะการเมืองที่มีความชัดเจนขึ้น เราคาดว่ากลุ่มหลักทรัพย์จะมีการปรับตัวดีขึ้นจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่กลับมาซึ่งทำให้ปริมาณการซื้อขายในช่วงครึ่งปีหลังสูงขึ้นทำให้เรายังคงประมาณการปริมาณซื้อขายต่อวันที่ 1.65 หมื่นล้านบาทแม้ว่าใน 5 เดือนแรกที่ผ่านมาปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 1.2 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ มองเห็นการ IPO ของหุ้นขนาดใหญ่คือ DTAC, SRC, BTS รวมถึง การเพิ่มทุนของ TMB ซึ่งทั้งหมดเราคาดว่ามีมูลค่าประมาณ 150 พันล้านบาท ซึ่งทำให้กลุ่มหลักทรัพย์จะมีผลการดำเนินงานที่ดีในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะ PHATRA ซึ่งเป็นผู้นำในการจัดจำหน่ายและที่ปรึกษาทางการเงินของ SRC และ TMB

โดยบริษัทหลักทรัพย์ที่เน้นลูกค้าต่างชาติจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าตลาด:โดยในช่วง 5 เดือนแรกนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิจำนวน 67 พันล้านบาท ในขณะที่รายย่ยและกองทุนในประเทศขายสุทธิจำนวน 15 พันล้านบาทและ 51 พันล้านบาทตามลำดับดังนั้นบริษัทหลักทรัพย์ที่เน้นลูกค้าสถาบันจากต่างชาติมีส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นจาก 34% ในปี 2549 เป็น 39% ในช่วง 5เดือนแรกของปี นำโดย UBS,CL, SCBS, ASP

ทั้งนี้ จากการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของนักลงทุนและ IPOขนาดใหญ่ในช่วงครึ่งปีหลังจะทำให้นักลงทุนรายย่อยกลับเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ดังนั้น บริษัทหลักทรัพย์ที่เน้นรายย่อยน่าจะได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเฉพาะ KEST และ CNS.

ส่งผลให้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับคำแนะนำจาก ต่ำกว่าตลาดเป็นสูงกว่าตลาด ซึ่งเราคาดว่า บริษัทหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ซึ่งมีพันธมิตรเป็นต่างชาติน่าจะมีแนวโน้มกลับมาดีมากที่สุด ทำให้เราอาจจะมีการปรับประมาณการกำไรสุทธิ ในกรณีที่เศรษฐกิจฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง โดยเราแนะนำ ซื้อเก็งกำไรใน PHATRA, KEST และ ASP และถือ สำหรับ KGI และ CNS




[/color:fa446435a6">
 กลับขึ้นบน
P_aud
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 531
#2 วันที่: 05/06/2007 @ 00:25:01 :



[img:7b1db204d0">http://www.zabzaa.com/freeanimation/animation/interest_md_wht.gif[/img:7b1db204d0">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com