*สาเหตุที่ทำให้ "โมนิก้า" ต้องออกตัวว่า 750 จุด...หมูๆ น่าจะเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น และที่ผ่านมาตลาดหุ้นก็ซึมซับรับข่าวร้ายหลายเรื่องไปมากเลยทีเดียว จึงไม่มีเหตุผลที่ดัชนีจะต้องอ่อนตัวลงไปอีกนะจะบอกให้

*ประกอบกับบริษัทจดทะเบียนบางแห่งยังทำตัวเลขผลกำไร และจ่ายเงินปันผลได้อย่างแข็งแกร่ง เท่ากับเป็นการย้ำเตือนว่า ราคาหุ้นพื้นฐานดี(ส่วนใหญ่เป็นหุ้นบลูชิพ)ต่ำกว่าความเป็นจริงมากพอสมควร หาก "โมนิก้า" ไม่แนะนำให้ซื้อตั้งแต่หัววัน อาจไม่เหมาะสมกับตำแหน่งสาวมั่นตลอดกาล เพราะสิ่งที่คิดและขีดเขียนไปนั่น เป็นเรื่องจริงทุกประการนะที่รัก

*ยิ่งนายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ออกมาสำทับว่า การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ น่าเป็นตัวเร่งให้มีการเลือกตั้งภายในสิ้นปี 2550 เร็วขึ้น ซึ่งช่วยคลายความวิตกกังวลของนักลงทุนต่างชาติได้มากแบบนี้ไงหล่ะ...ดัชนีถึงวิ่งกระฉูดอย่างที่เห็น

*ที่สำคัญ คือ พอมีความชัดเจนเรื่องการยุบพรรคออกมาเท่านั้นแหล่ะ...คนที่เกี่ยวข้องกับแวดวงตลาดหุ้นต่างออกมาแสดงทรรศนะ และมุมมองกันเจียวจ๊าวกันไปหมด จน"โมนิก้า" รู้สึกว่าผู้จัดการกองทุนเหล่านั้น มองการลงทุนแค่ระยะสั้นๆหรือเปล่า ถึงชอบแนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้นตอนขึ้นเยอะๆ และให้เทขายหุ้นตอนตกหนักๆ

*นอกจากนี้ยังมีหน้ามาบอกว่าจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหากมีโอกาส เท่ากับเป็นการสวมวิญญาณนักเก็งกำไรเต้มตัวอย่างนี้ "โมนิก้า" เสียวไส้แทนผู้ถือหน่วยจริงๆ เพราะดันไปเข้าสูตร zero sum game ซึ่งจะมีทั้งคนได้และคนเสียเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เดี๊ยนจึงขอภาวนาว่า อย่าให้ผลเสียเกิดกับผู้ถือหน่วยเลยเจ้าพระคุณ...สาธุ...สาธุ...สาธุ

*ถึงกระนั้น "โมนิก้า" ก็ไม่วายเป็นห่วงว่า หากดัชนีทะยานขึ้นไปปิดเหนือแนวต้าน750 จุดได้จริงๆ แล้วหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะสตอรีที่จะเข้ามารองรับการทะยานขึ้นของดัชนีไม่ค่อยมีน้ำหนักมากพอนั่นปะไร

*เมื่อรูปการณ์ออกมาเป็นเช่นนี้ "โมนิก้า" ก็ขอให้นักลงทุนอย่าผลีผลามทุ่มซื้อหุ้นจนสุดตัว เพราะโอกาสได้กำไรมีมากพอๆ กับโอกาสขาดทุน ถึงแม้หุ้นหลายตัวยังมีราคาต่ำกว่าความเป็นจริงอย่างมาก แต่นักลงทุนก็ไม่ควรประมาทเลิ่นเล่อ...เพราะทฤษฎีที่ว่า หุ้นขึ้นได้ก็ลงได้ เป็นปรากฏการณ์จริงที่ไม่อาจปฎิเสธได้นะตัวเอง

*โดยเฉพาะในรายของ PTT กระชากขึ้นหูดับตับไหม้ พร้อมวอลุ่มซื้ออื้อซ่าถือเป็นเรื่องที่ดี แต่หากพิจารณาถึงการยื่นเรื่องถอดถอนหุ้นออกจากตลาดหุ้นซึ่งจะพิจารณากันเร็วๆอาจเป็นตัวเร่งให้นักลงทุนต้องเทขายหุ้นกำไรเป็นการด่วน เพราะไม่รู้ว่าแรื่องนี้จะออกหัวหรือก้อยนะซีตัวเอง

*ส่วนหุ้นกลุ่มอื่นๆ มีแก๊ปราคาหุ้นวิ่งกันมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ พอบรรยากาศการลงทุนกลับมาคึกคักสุดขีด หุ้นโบรกเกอร์ยอดนิยมอย่าง KEST ก็กระชากขึ้นพรวดเดียวเกือบ 20% จนนักลงทุนแตกตื่น และกระโจนเข้าใส่กันมือเป็นระวิง เพราะเกรงว่าจะตกขบวนรถด่วนเที่ยวสำคัญแบบนี้...เดี๊ยนรับรองว่าอย่างไรหุ้นก็ต้องไปต่อแน่นอนเจ้าค่ะ

*เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มก่อสร้าง เห็นติ๋มๆ หงิ๋มๆ มาเป็นเดือน แต่พอบรรยากาศการลงทุนเริ่มสดใส และเรื่องร้ายๆ หลายอย่างไม่รุนแรงอย่างที่คิด แรงซื้อถึงไหลกลับเข้ามาเป็นจำนวนมาก และมีความเป็นไปได้ว่า หุ้นกลุ่มนี้จะไต่ระดับขึ้นไปตามกลุ่มอื่นๆ นะจ๊ะ

*สำหรับนักลงทุนที่ไม่เงินถุงเงินถังเดี๊ยนขอให้นักลงทุนพุ่งเป้าไปที่หุ้นกลุ่มขนาดกลางเป็นอันดับแรก เพราะหุ้นกลุ่มดังกล่าวถุกมมองข้ามเป็นเวลานาน แถมราคาหุ้นก็ยังขยับขึ้นไม่มากนัก จึงเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะเข้าซื้อหุ้นเก็บไว้เล่นเก็งกำไร หลังเห็นกันจะจะว่าฟ้าหลังฝนย่อมเต็มไปด้วยความสดใสซ่าบซ่า...อิอิอ

*อะ...อะ...อะ...อย่าเข้าใจผิดว่า "โมนิก้า" จะให้นักลงทุนเทขายหุ้นบลูชิพทิ้งเพียงแต่แนะนำว่าหุ้นกลุ่มขนาดกลางมีเสปร็ดราคาให้หุ้นวิ่งเยอะ ขณะที่หุ้นกลุ่มบลูชิพก็ยังมีแก๊ปราคาหุ้นให้วิ่งเช่นกัน แต่นักลงทุนบางรายอาจคิดว่าราคาหุ้นกลุ่มบลูชิพแพงเกินไป ดิฉันเลยขอให้พื้นที่ตรงนี้เถียงคอเป็นเอ็นว่าไม่จริง เพราะหุ้นกลุ่มดังกล่าวนับวันจะทำราคาสูงสุดใหม่ๆ ตลอดเวลานะซี

*ตบท้ายกันที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี โดยนักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อนเฉพาะวันศุกร์วันเดียวกว่า 8 พันล้านบาท จนดัชนีบวกไป 16.53 จุด ก่อนจะวิ่งขึ้นมาปิดที่ 753.93 จุด พร้อมด้วยมูลค่าการซื้อขาย 40,378.40 ล้านบาท น่าเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า ตลาดหุ้นพร้อมทะยานขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 780 จุดในเร็วๆ นี้...โดยแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติเป็นตัวแปรสำคัญในการดันดัชนีขึ้นแรงๆ นะค่ะ

*ก่อนจากกันขอฝากบอกว่า โอกาสดีๆ ไม่ได้มีมาบ่อยๆ จึงควรรู้จักฉกฉวยโอกาสไว้บ้างนะจ๊ะ