SSI: คาดไตรมาส 2/50 จะพลิกกลับมามีกำไรจากราคาขายที่สดใส - เก็งกำไร
สัมภาษณ์ผู้บริหาร
ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/50 มีปริมาณผลิตและขายเท่ากับ 0.4 ล้านตัน เป็นการขายสินค้า Premium 61% (เพิ่มจาก 45% ในไตรมาสก่อนหน้า) และส่งออกสินค้า 26% (ตลาดหลักคือ ตะวันออกกลาง 43% เวียดนาม 44% EU 10% และอื่นๆ 3%) แต่ด้วยตลาดเหล็กรีดร้อนในประเทศที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัวปลาย ก.พ. กอปรกับการผลิตสินค้า premium เพิ่มขึ้น (บริษัทจะรับคำสั่งซื้อล่วงหน้าประมาณ 2-3 เดือน) ทำให้อัตราการใช้กำลังผลิตต่ำเพียง 40% และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ต้นทุนการแปลงสภาพ (Conversion cost) เพิ่มจากระดับกว่า 50 เหรียญ/ตัน เป็น 60-70 เหรียญ/ตัน ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1/50 ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า และมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานสุทธิ
ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าคงคลัง (วัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป) ประมาณ 4 เดือน ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทพยายามบริหารจัดการสินค้าคงคลังโดยเฉพาะวัตถุดิบ (Slab) ด้วยความระมัดระวัง ซึ่งในไตรมาส 1/50 มีการนำเข้าวัตถุดิบ 0.3 ล้านตัน และคาดว่าจะใกล้เคียงในไตรมาส 2/50 ซึ่งเป็น Slab สำหรับการผลิตเหล็กรีดร้อน premium เป็นหลัก
ความเห็นนักวิเคราะห์
ความต้องการเหล็กรีดร้อนที่สูงในเวียดนาม ทำให้ยังเป็นตลาดส่งออกที่มีศักยภาพ
ความต้องการบริโภคเหล็กในเวียดนามที่สูงในอัตราโตเฉลี่ย 10.5% ต่อปีในระยะ 11 ปีที่ผ่านมาจาก 2 ล้านตัน ในปี 38 เป็น 6 ล้านตัน ในปี 49 ซึ่งเป็นเหล็กรีดร้อนถึง 2 ล้านตัน และมีแนวโน้มว่าความต้องการเหล็กในเวียดนามจะเพิ่มขึ้น 10% ต่อปี เป็น 10 ล้านตัน ในปี 52 โดยเหล็กรีดร้อนเป็นสินค้าที่ต้องการมากที่สุด เนื่องจากไม่มีการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศ (บริษัท Essar group และ VSC ในเวียดนามวางแผนจะสร้างโรงรีดร้อนกำลังการผลิต 2 ล้านตัน ในปี 52) ทำให้เวียดนามยังคงเป็นตลาดส่งออกเหล็กรีดร้อนคุณภาพสูงที่มีศักยภาพสำหรับ SSI ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้าก่อนที่เวียดนามจะมีโรงงานผลิตเองในประเทศ
โครงการก่อสร้างจำนวนมากในตะวันออกกลาง จึงมีความต้องการนำเข้าเหล็กรีดร้อนในราคาที่เต็มใจจ่าย นอกจากนี้ SSI เริ่มขยายตลาดส่งออกไปอินเดีย
ปริมาณความต้องการใช้เหล็กที่แข็งแกร่งในตะวันออกกลาง จากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่มูลค่า 1-2 หมื่นล้านเหรียญ ในเวลา 4-5 ปี ทำให้ตะวันออกกลางมีความต้องการนำเข้าเหล็กรีดร้อนคุณภาพสูง เพื่อการก่อสร้างเป็นจำนวนมาก และเป็นตลาดที่ให้ราคาค่อนข้างดี โดยราคาส่งออกของ SSI ไปตลาดนี้ปรับเพิ่มจาก 600 เหรียญ/ตัน เมื่อปลาย ม.ค. เป็น 680 เหรียญ/ตัน ต้น พ.ค. 50 และด้วยโครงการก่อสร้างที่อยู่ใน Pipeline จำนวนมากของตะวันออกกลาง ทำให้ตลาดนี้ยังเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของ SSI นอกจากนี้ บริษัทได้เริ่มขยายตลาดส่งออกไปยังอินเดีย และได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาบ้างแล้วในไตรมาส 2/50
แนวโน้มไตรมาส 2/50 คาดราคาขายเฉลี่ยและอัตรากำไรจะสดใสขึ้น - แม้ Demand ในประเทศยังซบเซา แต่บริษัทจะเน้นตลาดส่งออกที่ให้ราคาดี
ตลาดในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปลาย ก.พ. 50 จากการกลับมาเริ่มซื้อของ Trader ในประเทศ ทำให้ราคาในประเทศปรับขึ้นตามราคาในตลาดโลก (แต่ Demand ในประเทศยังคงซบเซาและคาดว่าจะไม่เห็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับปีนี้) รวมกับยอดสั่งซื้อจากตลาดส่งออกโดยเฉพาะตลาดตะวันออกกลางที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าบริษัทจะมียอดขายสินค้า premium ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 2/50 และน่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/50 ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญจากราคาขายเฉลี่ยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่บริษัทมีต้นทุนวัตถุดิบที่นำเข้ามาเพิ่มในไตรมาส 1/50 ใกล้เคียงกับช่วงปลายปี จึงคาดว่าอัตรากำไรในไตรมาส 2/50 จะดีขึ้นจากไตรมาส 1/50
คงประมาณการปี 50 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 2.06 พันล้านบาท
ภายหลังการสัมภาษณ์ผู้บริหาร เรายังคงประมาณการปี 50 ตามเดิมที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 2.06 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการโอนกลับขาดทุนจากการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ 418 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานสุทธิ 1.64 พันล้านบาท แม้ตลาดเหล็กรีดร้อนในประเทศจะไม่สดใส แต่บริษัทมีศักยภาพในการผลิตสินค้า Premium ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดจีนและตะวันออกกลางและมีราคาสูงกว่าเกรดทั่วไป จึงคาดว่า SSI จะมีสัดส่วนส่งออกเพิ่มจาก 23% ในปี 49 (0.39 ล้านตัน) เป็น 25% ในปี 50 (0.47 ล้านตัน +20% จากปี 49) และมีสัดส่วนการขายสินค้า premium 55% (ไตรมาส 1/50 ขายสินค้า premium ถึง 61%) เพิ่มจาก 53% ในปี 49
แนะนำ "เก็งกำไร"
แม้ราคาหุ้นปัจจุบันจะมี discount เพียง 2% จากมูลค่าพื้นฐานปี 50 ที่เราประเมินไว้ที่ 1.10 บาท (PER ปี 50 ที่ 7 เท่า) แต่ด้วยแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/50 ที่จะฟื้นตัวอย่างมีนัย จึงคงคำแนะนำ "เก็งกำไร"