ตามรอยผลประกอบการของ 16 หุ้นแสบ มี 10 บริษัทที่โชว์ยอดขาดทุนสุทธิ 3 บริษัทกำไรลดลง และมีพียง 3 บริษัทที่กำไรเพิ่มขึ้น ไตรมาสแรกปีนี้ D1 เจ็บหนักสุดพลิกเป็นขาดทุน 22 ลบ.ติดลบถึง 2,300% และPRO ติดลบ 1,400% ส่วน NEP เจ๋งกำไรก้าวกระโดดถึง 700% ตามมาด้วย NNCL พุ่ง 137.5% นักวิเคราะห์บอกเสี่ยงสูงควรหลีกเลี่ยงไปลงทุนหุ้นพื้นฐานดีปลอดภัยกว่า


ผู้สื่อข่าว eFinanceThai.com ได้รวบรวมผลประกอบการไตรมาส 1/2550 ของบริษัทจดทะเบียนที่ราคาหุ้นเคลื่อนไหวค่อนข้างหวือหวาในช่วงที่ผ่านมา 16 บริษัท พบว่ามี 10 บริษัทที่โชว์ตัวเลขขาดทุนสุทธิคือ APURE,ASL,D1,DE,GBX,LIVE,N-PARK,PICNI,PRO, S2Y อีก 3 บริษัทที่มีกำไรแต่ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนคือEMC,EVER,MME และมีเพียง 3 บริษัทเท่านั้นที่มีกำไรเพิ่มขึ้นคือ EWC,NEP และ NNCL (ดูตารางประกอบด้านล่าง)

ในกลุ่มแรกที่โชว์ยอดขาดทุนต่อเนื่องพบว่า D1 อาการหนักสุดไตรมาสแรกปีนี้พลิกเป็นขาดทุน 22ล้านบาท จากที่เคยมีกำไร 1 ล้านบาทในไตรมาส 1/2549 คิดเป็นอัตราที่ลดลงถึง 2,300% ทั้งนี้บริษัทแจ้งว่าสาเหตุที่ทำให้ผลประกอบการเป็นแบบนี้ มาจากการเปลี่ยนธุรกิจจากธุรกิจห้างสรรพสินค้ามาเป็นธุรกิจลงทุน

ส่วนผลประกอบการของ PRO ก็ปรับตัวลดลงถึง 1,400% โดยไตรมาส 1/2550 พลิกเป็นขาดทุนสุทธิ 39 ล้านบาท จากที่เคยมีกำไรสุทธิ 3 ล้านบาทในไตรมาส 1/2549 โดยมีสาเหตุมาจากรายได้ที่ลดลง และต้นทุนบริการที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันดีเซล ราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งมีต้นทุนการจัดการปัญหาเรื่องกลิ่นของระบบบำบัดน้ำเสีย โดยมีรายได้รวมสำหรับไตรมาสที่ 1/2550 เท่ากับ 17.55 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้เท่ากับ 81.55 ล้านบาท

ส่วนกลุ่มที่โชว์ผลประกอบการยอดเยี่ยมก็คือ NEP กำไรขยับเพิ่มขึ้นมาเป็น 16 ล้านบาท จาก 2 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 700% อย่างไรก็ตามตัวเลขดังกล่าวเป็นงบรวมบริษัทย่อย แต่หากดูเฉพาะงบการเงินเฉพาะกิจการพบว่า NEP ยังคงขาดทุนต่อเนื่องจากงวดเดียวกันในปีก่อน โดยปีนี้ขาดทุน 21.4ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุน 15.6 ล้านบาท

ถัดมาคือ NNCL ไตรมาสแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 114 ล้านบาท จากไตรมาส 1/2549 ที่มีกำไรสุทธิ 48 ล้านบาทคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 137.5% โดยบริษัทชี้แจงว่ามีรายได้จากการขายที่ดินเพิ่มขึ้น 59.26 ล้านบาท รายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น 19.97 ล้านบาท และ ในปี 2549 บริษัทฯได้มอบที่ดินให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเพื่อก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อย ที่โครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร(นครราชสีมา) เป็นจำนวนเงิน10.35 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตก่อสร้างอาคารพาณิชย์และหอพักเพื่อพัฒนาที่ดินให้เกิดมูลค่าสำหรับโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร(ปทุมธานี) เป็นจำนวนเงิน 2.25 ล้านบาท

ในส่วนผู้บริหาร NNCL คือนายนิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ กล่าวกับ eFinanceThai.com ถึงคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 2/2550 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสแรก เรื่องจากมีลูกค้าเตรียมเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดินจำนวนมาก และทั้งปี 2550 ตั้งเป้ารายได้ 10% จาก 1.09 พันล้านบาทในปีก่อนหน้า จากยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับค่าบริการสาธารณูปโภคที่ขยายตัว จึงมั่นใจว่ารายได้เป็นไปตามเป้าหมาย

จริงๆแล้ว ไตรมาส 1 และไตรมาส 2 เรามี Backlog รอรับรู้อยู่แล้ว ซึ่งมีลูกค้าหลายรายทีเดียว เตรียมเซ็นสัญญาซื้อที่ดินในนิคมฯซึ่งเท่าที่ดูผลประกอบการก็น่าดีอยู่ แต่บอกไม่ได้ว่าเท่าไหร่ เพราะต้องรอสรุปกับทางมาร์เก็ตติ้งอีกที เพราะอาจมีลูกค้าบางรายเลื่อนไปซื้อในไตรมาสหน้า สรุปแล้วครึ่งปีแรก เราไม่ห่วง เพราะมี Backlog รอรับรู้มากพอสมควรแล้ว ขณะที่ไตรมาส 3 เองก็ยังโอเค แต่ที่น่าเป็นห่วงก็เป็นช่วงไตรมาส 4 เพราะเหตุการณ์หลายอย่างยังไม่แน่นอน แต่ก็มั่นใจทั้งปีรายได้เป็นไปตามเป้าได้ นายนิพิฐ กล่าวในที่สุด

สำหรับหุ้นที่กำลังร้อนแรงและได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากในช่วงนี้คือ EMC ซึ่งมีชื่อของ"ชนะชัย ลีนะบรรจง"เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ปรากฎว่าไตรมาส 1/2550 มีกำไรสุทธิ 7 ล้านบาท ลดลงจาก 15 ล้านบาท หรือลดลง 53.33% อันเนื่องมาจากไตรมาสแรกปีนี้ได้ตั้งสำรองค่าเผื่อผลขาดทุนโครงการ เป็นจำนวนเงิน 19.32 ล้านบาท

นายชนะชัย ลีนะบรรจง ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของ EMC เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า หลังจากเข้าเป็นผู้บริหาร EMC ตั้งเป้าหมายว่าในปีนี้จะมีกำไรมากกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิประมาณ 36 ล้านบาท โดยจะมีการสนับสนุนงานรับเหมาก่อสร้างมากขึ้น ซึ่งในส่วนของแผนงานคาดว่าจะใช้เวลาอีก 2-3 เดือนจะทราบทิศทางที่แน่ชัด

ดูตัวเลขไตรมาสแรกกำไรแค่ 7 ล้านบาท ซึ่งไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หากเอาตัวเลขไตรมาสแรกคูณ 4 ก็จะได้กำไรทั้งปีแค่ 28 ล้านบาท ถือว่าน้อยเกินไป เพราะปีก่อน EMC มีกำไร 36 ล้านบาท เมื่อผมเข้ามาก็ตั้งความหวังว่ากำไรเราจะดีขึ้น น่าจะเป็นตัวเลขหลักร้อยล้านบาทขึ้นไป และจะพยายามจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นมากกว่าปีก่อนนาย ชนะชัยกล่าว

ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้ความเห็นว่าทั้ง 16 หลักทรัพย์ยังไม่โดดเด่นในด้านปัจจัยพื้นฐาน หากจะเข้าซื้อเพื่อลงทุน แนะนำให้เลือก บจ.อื่นที่มีสภาพคล่องในระดับที่พอใจ สร้างกำไรต่อเนื่องและจ่ายปันผลสม่ำเสมอจะดีกว่า ส่วน 16 หลักทรัพย์ที่ตามรอยมานั้นล้วนแต่เป็นหุ้นเก็งกำไร ราคาเคลื่อนไหวค่อนข้างหวือหวา และมีความเสี่ยงสูง บางบริษัทอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งยังไม่มีความผลสรุปในขณะนี้และจะต้องติดตามข้อมูลต่อไป บางบริษัทอยู่ในช่วงรอยของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้น และบางบริษัทธุรกิจไม่โดดเด่นแต่หุ้นกลับได้รับความสนใจโดยการนำกระแสข่าวลือมาสนับสนุนแรงเก็งกำไร ซึ่งเมื่อหมดกระแสข่าวลือแล้วหุ้นจะกลับสู่ภาวะปกติและสภาพคล่องก็จะเหือดหายไปในที่สุด

เปรียบเทียบผลประกอบการ Q1/50 กับ Q1/49

หลักทรัพย์ Q1/2550 Q1/2549 เปลี่ยนแปลง(%)
APURE (0.86) (17) -110.11
ASL (106) (48) -120.83
D1 (22) 1 -2,300
DE (16) (53) -69.8
EMC 7 15 -53.33
EVER 16 39 -58.97
EWC 41 40 2.5
GBX (3) 17 -117.64
LIVE (51) (73) -30.13
MME 6 15 -60.00
N-PARK (296) (249) -18.87
NEP 16 2 700
NNCL 114 48 137.5
PICNI (362) (819) -55.79
PRO (39) 3 -1,400
S2Y (5) (4) -25.00
หน่วย : ล้านบาท


รวบรวมโดย eFianceThai.com