ทิศทางตลาดหุ้นไทย จากนี้ไปจนถึงการเลือกตั้ง ดูเหมือนจะไม่สดใสเอาเสียเลย หลังจากที่กูรูในแวดวงตลาดทุนไทยออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งดูแล้วยังไม่มีเสถียรภาพพอที่จะทำให้นักลงทุนไทยและต่างชาติหันกลับมาลงทุนอย่างจริงจังในตอนนี้ โดยเห็นได้ชัดจากมูลค่าการซื้อขายในช่วงที่ผ่านมา
คำถามจึงอยู่ที่การสรรหามาตรการเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยจึงเป็นสิ่งสำคัญเหมือนกับที่ ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้ชี้ช่องทาง 4 ประเด็นหลัก ที่จะทำให้ตลาดหุ้นไทยสามารถฟื้นคืนได้อย่างรวดเร็ว ในภาวะที่การเมืองยังใส่เกียร์ว่างกันอยู่
-ทิศทางเศรษฐกิจ-ตลาดหุ้น
นาย ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจไทยว่า มีความเป็นไปได้ที่จะฟื้นตัวในระยะสั้น เนื่องจากกำลังการผลิตของภาคเอกชนกำลังเต็มเพดานทำให้ต้องมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่ม บวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีที่รัฐบาลเป็นห่วงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
"สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่อาจทำให้เกิดการฟื้นตัวได้ในระยะสั้น แต่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในระยะยาวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเมืองและเศรษฐกิจโลก เพราะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา การเมืองจะถึงจุดร้อนแรง เนื่องจากมีกระแสความไม่พอใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากขึ้น ทำให้เกิดความกังวลใจว่าอาจจะไม่มีการเลือกตั้ง รวมทั้งยังต้องรอผลการตัดสินในคดียุบพรรคการเมือง ส่วนเศรษฐกิจโลกยังเป็นปัจจัยเสี่ยง แม้ว่าอัตราการขยายตัวในปีนี้จะเติบโตร้อยละ 4.9 แต่ยังต้องติดตามเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งจะอาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
เมื่อพูดถึงกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้ นายศุภวุฒิกล่าวว่า นักลงทุนควรจะชะลอการลงทุนไว้ก่อนโดยไม่ต้องรีบร้อน แต่ควรจะหันไปลงทุนในพันธบัตรแทน เนื่องจากดอกเบี้ยเป็นขาลง ผลตอบแทนที่ได้จะดีกว่า
สำหรับการลงทุนหุ้นควรจะมองไปในระยะยาว 2-3 ปีจากนี้ว่า จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างมีคุณภาพหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชัดเจนทางการเมือง แต่ในระยะสั้นตลาดหุ้นอาจจะฟื้นได้บ้าง ซึ่งเป็นไปตามทิศทางของเศรษฐกิจโดยรวมที่รัฐบาลเร่งการลงทุนให้เกิดขึ้นจึงน่าจะฟื้นดัชนีฯได้แค่ในระยะสั้นเท่านั้น
"เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวได้ก่อนการเลือกตั้งตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของไทยอยู่ในช่วงตกต่ำ การลงทุนภาคเอกชนติดลบ ทำให้รัฐบาลเห็นความสำคัญในการแก้ปัญหาดังกล่าวและกระตุ้นการลงทุนให้เกิดขึ้น เช่น การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของบริษัทเอกชนที่มาบตาพุด จ.ระยอง ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ และมีผลขับเคลื่อนให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ในระยะสั้น"นายศุภวุฒิกล่าว
นายศุภวุฒิ กล่าวอีกว่า ถ้าภายใน 2 เดือนข้างหน้าแก้รัฐธรรมนูญไม่เรียบร้อยอาจทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปอีกหรือไม่ นอกจากนี้ ในรัฐธรรมนูญยังมีประเด็นเรื่องยุบพรรค ซึ่งอาจจะเป็นประเด็นที่นักลงทุนกังวลอยู่เช่นเดียวกัน รวมถึงกฎหมายของทุนต่างด้าวที่จะออกมาในเดือนส.ค. ถึง ก.ค. นี้จะสะท้อนได้ว่าเราต้อนรับทุนต่างชาติมากน้อยเพียงใด
ด้านนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ให้มุมที่สอดคล้องกันว่า เศรษฐกิจไทยในระยะสั้นยังมีสัญญาณที่ไม่ดีนักเนื่องจากมีการชะลอตัวโดยเฉพาะดัชนีการอุปโภคและบริโภคภาคประชาชน การลงทุนภาคเอกชน และสินค้านำเข้า โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้จะเติบโตไม่ถึง 4% ขณะที่ในปีหน้าหากเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น จีดีพีน่าจะขยายตัวเพิ่มเป็น 4-5%
"ระยะสั้นเศรษฐกิจไทยยังมีสัญญาณไม่ดีจากการชะลอตัวภาคเอกชนรวมถึงความกังวลในเรื่องการเมือง ซึ่งภาครัฐเองก็ยังมีการเร่งเบิกจ่ายเพื่อให้เกิดทุนหมุนเวียนเร็วขึ้น แต่โดยรวมคาดจีดีพีทั้งปีโตไม่ถึง 4%" นายก้องเกียรติ กล่าว
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยก็ยังขับเคลื่อนไปต่อเนื่องจากนักลงทุนที่เข้ามาซื้อหุ้นในช่วงนี้โดยเฉพาะสถาบันเป็นการลงทุนระยะยาว 2 ปีขึ้นไป ซึ่งธุรกิจที่เป็นที่สนใจก็เป็นธุรกิจที่มีการปรับโครงสร้างโดยการดึงต่างประเทศเข้ามาเป็นพันธมิตรรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับสินค้าต่างประเทศ อาทิ พลังงาน ถ่านหิน แร่ธาตุ ค่าระวางเรือ ซึ่งการลงทุนในธุรกิจเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วน 40% ที่ช่วยพยุงตลาดหุ้นได้ ทั้งนี้ประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะเคลื่อนไหวเฉลี่ยอยู่ที่ 700-730 จุด
ด้านนายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
(กบข.) กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นสำหรับนักลงทุนสถาบันควรจะมองในระยะยาว 1 ปีและเลือกลงทุนในบริษัทที่มีอัตราการเติบโตของกำไรในระดับที่ดี
"หากบริษัทนั้นมีผลประกอบการไม่ดีก็ควรจะพิจารณาต่อไปว่า มีปัจจัยใดที่จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทดีขึ้นในอนาคต เพราะหากแนวโน้มของผลประกอบการดีขึ้นราคาหุ้นของบริษัทก็จะเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน"นายวิสิฐ
ทั้งนี้กบข.ยังคงมองว่าตลาดหุ้นไทยน่าลงทุนเนื่องจากมีอัตราเงินปันผลตอบแทนในระดับที่ดีโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.3% ดังนั้นในมุมมองของกบข.จึงไม่ได้มีการปรับระดับลดการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพียงแต่อาจจะเปลี่ยนประเภทของธุรกิจการลงทุนไปบ้างตามอัตราการเติบโตของกำไร ขณะเดียวกันกบข.ยังมองการลงทุนในต่างประเทศด้วย เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกงและจีน
"หุ้นไทยน่าลงทุนมากในแง่ของอัตราผลตอบแทนเงินปันผลแต่ที่น่าเป็นห่วงคือ จะดูแค่เงินปันผลไม่ได้ ควรจะต้องดูผลประกอบการของบริษัทควบคู่กันไปด้วย"นายวิสิฐ กล่าว
นอกจากนี้นักลงทุนควรจะหาจังหวะเทรดดิ้งหรือ ขายทำกำไรหุ้นออกไปหากพบว่าหุ้นปรับตัวขึ้นเกินปัจจัยพื้นฐานเนื่องจากปัจจุบันราคามีความผันผวนมากขึ้นขณะเดียวกันนักลงทุนไม่ควรยึดติดกับประเด็นเรื่องการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปลายปีนี้ว่าจะเป็นไปตามกำหนดการของรัฐบาลหรือไม่
"การเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่จะบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวเพราะก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้งยังมีประเด็นเรื่องการตัดสินยุบพรรคการเมือง ซึ่งน่าสนใจเช่นกันว่าหลังการตัดสินเรื่องยุบพรรคการเมืองแล้วจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นอีกหรือไม่" นายวิสิฐกล่าว