[b:5f6f8774af">กลุ่มธนาคารพาณิชย์ [/b:5f6f8774af">
รายได้ชะลอตัว ข้อมูลจากฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ของบริษัทที่ผมทำงานอยู่ระบุว่า รายได้จากการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารในไตรมาสที่ 1 ปี 2550 ลดลง มีสาเหตุมาจากการที่สินเชื่อลดลง ที่สำคัญยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวเลยใน ไตรมาสที่ 2 นี้ เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทำให้ดัชนีชี้นำการลงทุน, การอุปโภคบริโภค การนำเข้าสินค้า และ การขยายสินเชื่อ ต่ำสุดในรอง 3-4ปี อย่างไรก็ตาม ก็ยังหวังว่าจะฟื้นตัวได้ใน ไตรมาสที่ 3 เป็นอย่างเร็ว แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่
ที่น่าสนใจ คือ ค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน ดูจากงบการเงินในไตรมาสที่ผ่านมา ดูแล้วมีการเพิ่มจากการที่กลุ่มธนาคารฯเริ่มกลับมาขยายเครือข่ายสาขาอย่างมีนัยสำคัญ และเริ่มลงทุนระบบ IT เพื่อเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมและรองรับการแข่งขันกับธนาคารต่างชาติ เช่น GE Capital และ Nova Scotia
กำไรจากการดำเนินงานลดลง ในไตรมาสที่ 1 กำไรจากการดำเนินงาน(Operating profit before provisioning) ลดลง -7.6% เทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปีที่แล้ว รายได้จากการดำเนินงาน (Operating Income) ประกอบด้วยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Income) และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-interest Income) ไม่รวมกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทย่อย, กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และอื่นๆ ส่วนค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน (Operating Expense) เช่นค่าใช้จ่ายพนักงาน,ค่าใช้จ่ายอาคาร สถานที่และอุปกรณ์, และค่าภาษีอากรและค่าธรรมเนียมบริการ โดยไม่รวมรายการพิเศษเช่น ขาดทุนของหนี้สินหรือสินทรัพย์รอการขาย, การตัดจำหน่ายค่าความนิยม และอื่นๆ ข้อสังเกตสำคัญๆที่เราได้ข้อมูลจากตัวเลขเหล่านี้คือ มีเพียง SCB เท่านั้นที่มี กำไรจากการดำเนินงานเพิ่ม +6.9% ขณะที่ธนาคารอื่นๆมีกำไรจากการดำเนินงานลดลง SCIB -21.1%, KTB -18.3%, TMB -15.8%, BBL -8.4%, BAY -4.4% และ KBANK -2.6%
ปัจจัยที่กระทบต่อรายได้ของธนาคารมีเยอะ
รายได้จากการดำเนินงานหลักจะถูกกดดันจาก การชะลอตัวทางเศรษฐกิจอันเกิดจากความไม่แน่นอนทางการเมือง, ความล่าช้าการเบิกจ่ายงบประมาณ, เกณฑ์กันสำรอง 30% และการแก้กฎหมายต่างด้าว ที่สำคัญ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ส่งสัญญาณเพิ่มขึ้น
NPL ของกลุ่มธนาคารฯ เพิ่ม +2.1% ประมาณ 8,135ล้านบาท มาจาก KTB +4,934ล้านบาท KBANK +3,061ล้านบาท BAY +2,803ล้านบาท SCB +1,825ล้านบาท
คาดว่าภาวะโดยรวมของกลุ่มธนาคาร ฝั่งสินเชื่อจะฟื้นตัวใน ไตรมาสที่ 3 โดยหวังว่าจะมา จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการเงินและการคลัง และดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง คาดว่าจะลดอีก 0.25-0.50% ในวันที่ 23 พ.ค 2550 เม็ดเงินที่มาจากงบประมาณจะเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญในช่วงกลางปี ที่สำคัญรัฐบาลจะมีเม็ดเงินกระตุ้นรากหญ้าเป็นสำคัญ และอาจมีมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ และมาตรการทางภาษีบางอย่าง ที่สำคัญ เราต้องช่วยกันให้การเมืองเริ่มนิ่ง หลังร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ ะนำไปสู่การทำประชามติ และเลือกตั้งทั่วไปได้ในที่สุด