April 30, 2024   1:21:34 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 30/04/2007 @ 10:38:15
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.เอเชียพลัสแนะนำถือ QHราคาเป้าหมาย 1.16 บาท
การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ภายใต้ชื่อCasa Ville ซึ่งเปิดตัวในช่วงปลายปี 2549 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยจะถูกสะท้อนอกมาในผลประกอบการ 1Q50 เพราะจากการตรวจสอบสต๊อกบ้านที่สร้างเสร็จ 100%ณ สิ้นปี 2549 พบว่ามีบ้านในโครงการ Casa Ville ( 4 โครงการ) มากถึง 123ยูนิตจากจำนวนสต๊อกบ้านทั้งหมด 259 ยูนิต ขณะที่ในช่วง 2 เดือนครึ่งของ 1Q50 QH มียอดPresale รวมกว่า 2 พันล้านบาท โดยในส่วนของการขายดังกล่าวมีองค์ประกอบของการบ้านในโครงการ Casa Ville 30% ซึ่งน่าจะโอนฯ และบันทึกรายได้ทั้งหมดภายใน 1Q50ฝ่ายวิจัยประเมินว่า QH น่าจะบันทึกรายได้จากการขายในงวด 1Q50 ประมาณ 2.1 พันล้านบาท (มี Backlog ยกมา 101 ล้านบาท) ส่วนรายได้จากค่าเช่า-บริการ รวมอยู่ที่ 289 ล้านบาท กำหนดให้ Gross Margin จากการขายอยู่ที่ 26% และมี SG&A/รายได้หลัก 15.1% คาดว่า QH จะมีกำไรจากการดำเนินงาน 195 ล้านบาท เพิ่ม 29% YoY ปี 2550QH จะเปิดตัวโครงการใหม่ 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9.77 พันล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นโครงการภายใต้ชื่อ Casa มากถึง 5 โครงการ แสดงถึงทิศทางของบริษัทที่จะขยายฐานไปสู่กลุ่มลูกค้าระดับกลางมากขึ้น นอกจากนี้หาพิจารณาในด้านของผลิตภัณฑ์ ในปี 2550 จะเพิ่มสินค้าในกลุ่มทาวเฮ้าส์มากขึ้น และในปี 2551 จะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมอย่างน้อย 2 โครงการ ที่ รัชดา-ท่าพระ และ สะพานตากสิน-สาทร มูลค่าโครงการรวม 2.52 พันล้านบาท

บล.สินเอเชียแนะนำซื้อMAJORราคาเป้าหมาย 18.20 บาท
คาด 1Q50 กำไรปกติเพิ่มขึ้น 46.4% YoY และ 79.0% QoQ มาอยู่ที่ 193 ล้านบาทเนื่องจากรายได้จากการขายและบริการที่เพิ่มขึ้นถึง 35.5% YoY และ 17.42% QoQ มาอยู่ที่ 1,516 ล้านบาท โดยได้แรงหนุนจากการเข้าฉายของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง ?ตำนานสมเด็จพระนเรศวร? ซึ่งสามารถทำรายได้ 2 ภาครวมกันสูงถึง 535 ล้านบาทประกอบกับมีภาพยนตร์ที่ทำรายได้ดีอีกหลายเรื่อง อาทิเช่น บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม (80 ล้านบาท) Night at Museum (49 ล้านบาท) หอแต๋วแตก (45 ล้านบาท) และ 300Spartans (40 ล้านบาท) นอกจากนี้คาดว่ารายได้ที่เกี่ยวเนื่องอย่างรายได้จากการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม และรายได้โฆษณาน่าจะปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยรายได้จากการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มมีสัดส่วนต่อรายได้จากโรงภาพยนตร์คิดเป็น 18%-20% เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนเฉลี่ยเดิมที่ประมาณ 17-18% ในขณะที่รายได้จากธุรกิจโบว์ลิ่งและคาราโอเกะและธุรกิจให้เช่าและบริการทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว ถึงแม้ว่าค่าตั๋วชมภาพยนตร์เฉลี่ยจะปรับตัวสูงขึ้นจากการเปิดสาขา Esplanade เนื่องจากตั๋วชมภาพยนตร์มีราคาที่สูงกว่าสาขาอื่น โดยค่าตั๋วภาพยนตร์เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 112-117 บาทต่อที่นั่ง เป็น 117-120บาทต่อที่นั่ง ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากส่วนแบ่งรายได้ตั๋วภาพยนตร์ให้เจ้าของภาพยนตร์สูง (Film Hire) ของภาพยนตร์เรื่อง ?ตำนานสมเด็จพระนเรศวร? ที่สูงขึ้น โดยอยู่ที่ 55% มากกว่าภาพยนตร์ส่วนใหญ่ซึ่งอยู่ราว 50% ส่งผลให้ให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 37.4% จากเดิม 45% ใน 1Q49 ACLS เชื่อว่ารายได้และกำไรของบริษัทฯ จะยังคงเติบโตต่อเนื่องใน 2Q50 เนื่องจากยังมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศเข้าฉายอีกหลายเรื่อง อาทิเช่น Spiderman III, The pirate of the Caribbean III,และ Fantastic Four II ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มยอดขายตั๋วของบริษัทฯได้อีกด้วยดังนั้น ACLS ยังคงประมาณการมีกำไรสุทธิปี 50 ที่ 775 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.5% YoY
บล.กิมเอ็งแนะนำเต็มมูลค่า GFPTราคาเป้าหมาย 10.50 บาท
เราคงคำแนะนำ "เต็มมูลค่า" สำหรับ GFPT ที่ราคาเหมาะสม 10.50 บาท ซึ่งอิง PERปี 2550 ที่ 9 เท่า โดยเรายังคงมุมมองเชิงลบต่อภาพรวมธุรกิจของบริษัทในขณะนี้ด้วยเหตุผลสำคัญคือ ราคาข้าวโพดซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของบริษัทได้ปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 12.6% นับตั้งแต่ต้นปีและยังมีแนวโน้มแข็งตัวต่อไปตามราคาในตลาดโลก โดยราคาข้าวโพดที่ปรับสูงขึ้นนั้นบีบอัตรากำไรขั้นต้นในธุรกิจไก่และอาหารสัตว์ นอกจากนี้การปรับขึ้นราคาอาหารสัตว์ก็เป็นไปได้ช้าเพราะต้องขออนุญาติกรมการค้าภายใน เราคาดว่า GFPT จะมีผลประกอบการในไตรมาส 1/50 ขาดทุนปกติเท่ากับ 21 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนข้าวโพดที่พุ่งสูงขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 8.13 บาท/กิโลกรัม ประกอบกับราคาไก่สดในประเทศในไตรมาสแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 28 บาท/กิโลกรัม ใกล้เคียงกับต้นทุนเฉลี่ยในการเลี้ยงไก่ของบริษัทที่ประมาณ 27-28 บาท/กิโลกรัม แม้เราจะคาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกผลประกอบการจะออกมาไม่สดใสนัก แต่เราเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังปัจจัยต่างๆจะเริ่มดีขึ้น เช่น ราคาไก่จะมีการปรับตัวสูงขึ้นจากปริมาณไก่ในท้องตลาดที่ลดลง, การปรับขึ้นราคาอาหารสัตว์เพื่อสะท้อนต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาข้าวโพดคาดว่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทจะมีรายได้เพิ่มจากการเริ่มเดินสายการผลิตไก่ปรุงสุกใหม่กำลังการผลิต 15,000 ตัน/ปี ซึ่งคาดว่าจะติดตั้งเสร็จในเดือนสิงหาคมนี้ ดังนั้นเราจึงคาดว่าในปี 2550 บริษัทจะมีกำไรปกติเท่ากับ 146 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 1.16 บาท)ในขณะนี้บริษัทกำลังสานต่อการลงทุน 3 โครงการหลัก คือ 1)โรงงานอาหารสัตว์กำลังการผลิต 512,000 ตัน/ปี 2)สายการผลิตไก่ปรุงสุกใหม่กำลังการผลิต 15,000 ตัน/ปี และ 3)ฟาร์มเพาะเลี้ยงไก่ปู่ย่าพันธุ์ กำลังการผลิต1,160,000 ตัว/ปี โดยเราคาดว่าโครงการเหล่านี้จะช่วยพัฒนาผลประกอบการของบริษัทให้มีเสถียรภาพมากขึ้นในระยะยาว
บล.กรุงศรีอยุธยาแนะนำถือBGHราคาเป้าหมาย 36.90 บาทAYS คาดการณ์ผลการดำเนินงาน 1Q50 ของ BGH จะเติบโต 19% YoY เป็น 421 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากรายได้รวมโรงพยาบาลในเครือที่เติบโต 20% YoY เป็น 4,114ล้านบาท โดยเฉพาะโรงพยาบาลกรุงเทพ (BMC) และโรงพยาบาลสมิติเวช (สุขุมวิท) ที่ได้แรงหนุนจากผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้น และโรงพยาบาลสมิติเวช (ศรีนครินทร์) ที่ได้ผลบวกจากการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นเป็น 47.3% จาก 44.3%ในช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากอัตราการใช้บริการโรงพยาบาลในเครือที่สูงขึ้นเป็นเฉลี่ย 44% จาก 42% ใน 1Q49 (อัตราการใช้บริการที่สูงขึ้น ทำให้เกิด Synergyด้านค่าใช้จ่ายและต้นทุน และการประหยัดจากขนาด เนื่องจากธุรกิจโรงพยาบาลเป็นธุรกิจที่มี Operating Leverage ที่สูง) แม้กำไรสุทธิ 1Q50 คิดเป็น 23% ของประมาณกำไรสุทธิทั้งปี 50 ที่ 1,807 ล้านบาท (+32% YoY) แต่คาดว่ากำไรสุทธิจะสูงขึ้นใน 2H50เนื่องจากเป็น High Season ของธุรกิจโรงพยาบาล แผนการขยายรงพยาบาลในต่างประเทศ: BGH ได้ยื่นขอใบรับรองคุณภาพจาก JCI (Joint Commission International)เพื่อยกระดับให้เป็นโรงพยาบาลระดับสากล (ปัจจุบันมีเพียง BH โรงพยาบาลเดียวในประเทศไทยที่มีใบรับรองดังกล่าว) คาดว่าขั้นตอนดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในปี 50 นอกเหนือจากการออกไปโรดโชว์เพื่อหากลุ่มลูกค้าคู่สัญญาในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง การได้ใบรับรองดังกล่าวจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและดึงให้ลูกค้าต่างประเทศเข้ารับการรักษาได้มากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อแนวโน้มปริมาณและรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติในระยะยาว เนื่องจากผู้ป่วยต่างชาติมีอัตราการใช้จ่ายต่อหัวที่สูงกว่าผู้ป่วยในประเทศ (รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติคิดเป็นประมาณ 35% ของรายได้ทั้งหมด ณ ปี 49) สำหรับความคืบหน้าโรงพยาบาลในต่างประเทศ ปัจจุบันโรงพยาบาลที่เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ได้เปิดให้บริการในส่วนของผู้ป่วยนอก ขณะที่การให้บริการผู้ป่วยในคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงกลางปี 50 ทั้งนี้เราคาดว่าโรงพยาบาลดังกล่าวจะยังไม่มีส่วนสนับสนุนกำไรของ BGH ในช่วง 2 ปีข้างหน้า (ใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีกว่าจะเริ่มมีกำไร

ที่มา ข่าวหุ้น[/color:b20ff8c47a">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com