April 30, 2024   1:42:03 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > เสี่ยโทนี่ VS เสี่ยไมค์
 

???
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
วันที่: 30/04/2007 @ 09:11:59
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

การที่เสี่ยไมค์จับมือกับเสี่ยผิน ล้างบางกรรมการชุดของเสี่ยโทนี่ครั้งนี้ คงสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มของเสี่ยโทนี่เป็นอย่างมาก เพราะบรรยายกาศในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ASLเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2550 ที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีคนของกลุ่มเสี่ยโทนี่เข้ามาพยายามที่จะคัดค้านมติการปลดกรรมการชุดดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่ายังไม่เห็นควรที่จะปลด

เหตุเกิดในห้องประชุมผู้ถือหุ้น บล. แอดคินซัน จำกัด (มหาชน) วันพฤหัสบดีที่ 26เมษายน นอกจากจะไม่ได้ดุเด็ดเผ็ดมันสมกับที่ใครต่อใครพากันรอคอยเท่านั้น หากผลลพธ์ของการประชุมยังกลับตาลปัตร เล่นเอาคนที่เสมอนอกต้องผิดคาดไปตามๆกัน

ใครที่เคยคาดเดามาก่อนว่า ทีมบริหารของ เสี่ยไมค์ สดาวุธ เตชะอุบล จะหลุดจากเก้าอี้หลังจากโชว์ฝีมือน่าผิดหวังมาหลายไตรมาสติดต่อกัน ก็คงต้องยอมรับความจริงว่าเสี่ยไมค์นั้น ไม่ธรรมดา ไม่ใช่สมันน้อยให้ใครชี้นิ้วสั่งการได้ง่ายๆ

ในขณะที่พันธมิตรซึ่งเคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเคยนั่งบริหารมาก่อนอย่างกลุ่มคิ้วคชานั้นก็ยังคงเป็น"มังกรซ่อนกาย"ที่นักลงทุนภายนอกเดาทางยากต่อไปไม่เปลี่ยนแปลงสมกับฉายาเก่าแก่ที่ยังเหลือลายให้ต้องติดตามกันต่อไป

ในขณะที่ คนซึ่งหลายคนเคยเชื่อว่า น่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่ไร้ทียมทาน อย่างกลุ่มของเสี่ยโทนี่ นักลงทุนขาใหญ่มือเก๋าที่เคยเขย่าตลาดหุ้นมาแล้วหลายระลอก กลับแสดงอาการบ้อท่าอย่างไม่น่าเป็นไปได้ พ่ายยับเยินในการประลองกำลังกันในวันนั้น

คนในวงการหุ้นพูดกันหลังทราบผลการประชุมวันนั้นว่า มนต์ขลังยามนี้ของเสี่ยโทนี่หายไปมาก หลังจากงานประชุมผู้ถือหุ้น ASL เพราะจำนวนหุ้นที่เสี่ยโทนี่เอามางัดกับผู้ถือหุ้นใหญ่มีเพียงแค่ 117 ล้านหุ้นเท่านั้น ถือว่าจิบจ้อยอย่างมากเมื่อเทียบกับผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างเสี่ยไมค์และเสี่ยผินที่มีรวมกันเกือบ 2 พันล้านหุ้น การกลับมาคราวนี้ไม่สมกับเป็นชื่อของเสี่ยโทนี่ (หรือเสี่ยสองคนดัง) เมื่อครั้งในอดีตเลย

เพียงแต่ นี่คือ คำพูดที่น่าจะประเมินเสี่ยโทนี่ต่ำเกินไป เพราะเป็นแค่กรณีเดียวเท่านั้น
ที่สำคัญ ความคืบหน้าจากการประกาศปลด นางสัณห์จุฑา วิชชาวุธ, นายอัฏฐ์อัศวนันท์ , นายนันทพันธ์ มหัทธนธัญ, และ Mr.Chau-Chi Wong จากตำแหน่งกรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจ บริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด(มหาชน)หรือASL กลางที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ยังไม่หมดวาระ นั้น แสดงให้เห็นถึงการตัดสายสัมพันธ์ ของเสี่ยไมค์ ที่เคยมีกับเสี่ยโทนี่ (ชื่อเดิมเสี่ยสอง) อย่างเห็นได้ชัด

โดยกรรมการชุดดังกล่าวที่โดนปลดในครั้งนี้ ถือว่ามีสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกับเสี่ยโทนี่ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเมื่อเห็นชื่อนางสัณห์จุฑา ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ที่ปัจจุบันมีตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ใน บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC

รวมถึง นายอัฏฐ์ อดีตวาณิชธนกิจ ของบล.อินเทลวิชั่น ที่ย้ายข้ามห้วยมาเป็นลูกน้องของนายจเรรัฐ ปิงคลาศัย ซีอีโอของ บริษัท ดราก้อนวัน จำกัด(มหาชน) หรือ D1 ซึ่งสายสัมพันธ์ที่จะโยงไปหากลุ่มของเสี่ยโทนี่ คงไม่ยากเลย เพราะอดีตของนายจเรรัฐ เคยทำงานอยู่ใน IEC มาก่อน

สำหรับทางด้าน นายนันทพันธ์ เคยเป็นเอ็มดีใน บริษัท อาเขต แมเนจเม้นท์ แอนด์เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้บริหาร "รามสแควร์พลาซ่า" ที่ IEC ทุ่มเงิน 100 ล้านบาท ซื้อมาปั้นเป็นศูนย์ค้าส่ง-ปลีกโทรศัพท์มือถือ สมัยที่นายจเรรัฐ เป็นผู้บริหาร IEC จะเรียกได้ว่านายนันทพันธ์ ก็เคยทำงานเป็นลูกน้องของนายจเรรัฐ ก็คงจะไม่ผิดนัก

:เมื่อสายน้ำแยกทาง
จากสายสัมพันธ์ดังกล่าว คงทำให้เห็นชัดว่า การที่เสี่ยไมค์จับมือกับเสี่ยผิน ล้างบางผู้บริหารชุดของเสี่ยโทนี่ครั้งนี้ในลักษณ์"ตัดบัวไม่เหลือใย" คงสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มของเสี่ยโทนี่เป็นอย่างมาก เพราะบรรยายกาศในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ASL เมื่อวันที่ 26เมษายน 2550 ที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีคนของกลุ่มเสี่ยโทนี่เข้ามาพยายามที่จะคัดค้านมติการปลดกรรมการชุดดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่ายังไม่เห็นควรที่จะปลด
กลุ่มผู้ถือหุ้นที่คัดค้านเรื่องดังกล่าวมีอยู่ 30 ราย โดยมีจำนวนหุ้นที่ไม่เห็นด้วย 117,898,500 หุ้น โดยแบ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่หลักๆ อยู่ 2 รายคือ นางพวงพันธ์ บูลภักดิ์ จำนวน70 ล้านหุ้น และ บริษัท ไลฟ์ ทีวี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ไลฟ์อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ LIVE จำนวน 22 ล้านหุ้น ส่วนที่เหลือเป็นของนักลงทุนรายย่อย

ทั้งนี้จะเห็นว่าการงัดกันระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่(ตัวจริง) โดยกลุ่มพันธมิตรเสี่ยไมค์ ที่จับมือกับเสี่ยผิน ในการรวมหุ้นเพื่อปลดกรรมการชุดเดิมทั้ง 4 ราย นั้น ทำให้ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น ซึ่งวัดจากจำนวนหุ้นที่มากถึง 1,878,396,844 ล้านหุ้น ในขณะที่มีกลุ่มผู้ไม่ออกเสียงจำนวน 164,647,010 หุ้น ถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก

สัดส่วนจำนวนหุ้นของกลุ่มที่เห็นด้วยกับการล้างบางกรรมการชุดนี้ มีมากถึง 1,878.39ล้านหุ้น ต่างกับกลุ่มที่คัดค้านและไม่เห็นด้วยที่มีอยู่เพียง 117.89 ล้านหุ้น ราวฟ้ากับดิน และถือว่าเป็นจำนวนหุ้นที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่างานนี้เสี่ยโทนี่จะลุยให้ถึงที่สุด แต่เมื่อเปิดหุ้นออกมา ก็คงต้องยอมรับเลยว่าสู้ไม่ได้จริงๆ

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แตกต่างจากเมื่อกลางปี 2549 ที่ผ่านมา ซึ่งพันธมิตรเสี่ยโทนี่และเสี่ยไมค์ ได้จับมือกันโค่นกลุ่มคิ้วคชาลงจากอำนาจการบริหาร และมอบหมายให้เสี่ยไมค์ เข้ามากุมอำนาจการจัดการบริษัท เปลี่ยนแปลงการทำงานหลายอย่าง ทั้งการปิดสาขาหลายสิบแห่ง เพื่อลดต้นและ พยายามสร้างฐานธุรกิจใหม่ๆเพื่อให้หลุดพ้นจากภาวการณ์ขาดทุนที่ดำเนินมา เพียงแต่ผลลัพธ์การดำเนินการปรับปรุงกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด จนต้องมีการจบขั้วอำนาจกันใหม่

 กลับขึ้นบน
พ๊ง
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
#1 วันที่: 30/04/2007 @ 09:12:47 :
ผลของการจับขั้วใหม่ ทำให้ข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้าจะมีการประชุมผู้ถือหุ้น 1 วัน ที่ว่าเสี่ยไมค์เตรียมหาทางถอย หากถูกโค่นอำนาจจริง ด้วยการเตรียมออกกองทุนใหม่ภายนอกเพื่อระดมทุนเข้ามาซื้อหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ APEX ไปดำเนินต่อ ก็เป็นแค่ข่าวลวงที่ออกมาในเชิง"โยนก้อนหินถามทาง" หรือ "ล้อมเมืองเว่ย ช่วยเมืองจ้าว" ในการต่อสู้กับสงครามข่าวสารตามปกติธรรมดา

ตามรูปการแล้ว พันธมิตรใหม่ เสี่ยไมค์-เสี่ยผิน ได้รับมือกับสถานการณ์ด้วยการสร้างค่ายกลเอาไว้ล่วงหน้า เรียบร้อยแล้ว ซับซ้อนไม่ต่างจากค่ายกลของ"ตัวประหลาดทั้ง 7" ในนวนิยายกำลังภายในแต่อย่างใด

เรื่องนี้ แม้จะมีคำแก้ตัวของฝ่ายที่แพ้ อย่างด้านผู้รับมอบฉันทะแทนนางพวงพันธ์กล่าวว่า เราไม่ได้มีการวางแผนกันมาก่อน เพราะนายเพิ่งสั่งให้มาเพื่อคัดค้านโดยเฉพาะและต้องยอมรับว่าทางกลุ่มเสี่ยไมค์และเสี่ยผิน เตรียมตัวมาดี ถึงขนาดที่ว่ามีการไล่ซื้อproxy ในการเข้าร่วมประชุมจากผู้ถือหุ้นหลายๆ กลุ่ม โดยทางผู้ถือหุ้นเหล่านั้นที่ยอมขายเพราะที่ผ่านมาบริษัทนี้ไม่มีปันผลให้เลย ติดต่อกันหลายปี ก็สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มเสี่ยโทนี่ประมาทใจเกินไป

ผลลัพธ์ก็เลยผิดคาด และย่อยยับไปอย่างหมดรูป
การเดินแบบ "ทางใคร ทางมัน" (The way we were) ของเสี่ยโทนี่ กับเสี่ยไมค์ครั้งนี้ ยอมมีเบื้องลึกแฝงอยู่ ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยถึงการแตกหักจากบุคคลทั้งสองแต่ทั้งนี้ถ้าดูประวัติเก่าคงจะเห็นว่าทั้งสองเคยเป็นพันธมิตรกันเมื่อครั้งตั้งแต่ก่อนปลายปี 2548

โดยเห็นได้ชัดจากลูกชายคนโตของเสี่ยไมค์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง หรือ IEC จำนวน 80 ล้านหุ้น หรือ 6.78 %

หลังจากนั้นได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเรื่อยๆ จนเดือนมีนาคม 2549 เหลือหุ้นอยู่ 55ล้านหุ้น หรือ 3.49 % และล่าสุดช่วงปิดสมุดทะเบียนเมื่อเดือนเมษายน 2550 สัดส่วนหุ้นลดลงเหลือ 30 ล้านหุ้น หรือ 1.72 % สำหรับการที่ลูกชายเสี่ยไมค์ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน IECลงจะเป็นเพราะคำสั่งของเสี่ยไมค์หรือไม่ คงยังไม่มีการเปิดเผย

นอกจากนั้น พันธมิตรนี้ ยังกินเลยไปถึงการเข้าถือหุ้นใน EVER บริษัทอสังหาริมทรัพย์ฯที่เสี่ยไมค์เคยถือหุ้นใหญ่มาก่อน และปัจจุบันอยู่ในอำนาจการจัดการของกลุ่มโลจายะ ซึ่งในวันเดียวกัน ปรากฏว่า เสี่ยโทนี่และพันธมิตร กลับประสบความสำเร็จโค่นอำนาจของกลุ่มโลจายะลงได้อย่างเด็ดขาดเช่นกัน

สะท้อนว่า แม้จะแพ้ที่ ASL แต่เสี่ยโทนี่ก็ชนะที่อื่น เรียกว่า เสมอตัวพอกล้อมแกล้มไปได้
เพียงแต่เหตุการณ์ที่ ASL นั้น ยังไม่จบลงเสียทีเดียว เพราะยังคาดเดาได้ยากพอสมควรว่า จากนี้ไปหุ้น ASL จำนวนเกือบ 100 ล้านหุ้นที่อยู่ในมือของกลุ่มพันธมิตรเสี่ยโทนี่ จะถูกเคลื่อนย้ายไปทางไหนกันแน่

โจทย์ที่ต้องค้นหากันก็คือ ต้นทุนหุ้นที่กลุ่มเสี่ยโทนี่ถืออยู่มีต้นทุนเท่าใด เพราะหากปรากฎว่าต่ำกว่า ราคาที่ซื้อขายบนกระดานยามนี้ เราอาจได้เห็นการทุบหุ้น ASL ให้ต่ำกว่า 0.60บาทก็เป็นได้

โจทย์ต่อไปก็คือว่า หากมีการทิ้งจริง เสี่ยไมค์-เสี่ยผิน จะเข้ามาเก็บทันทีหรือไม่คงต้องถามเจ้าตัวกันเอาเอง

ที่สำคัญ บล.ASL แห่งนี้ จะกลับมาทำกำไรเมื่อใดอีก ก็ยังเป็นคำถามที่ต้องรอคำตอบกันอีกหลายไตรมาสเช่นกัน
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com