May 16, 2024   10:34:03 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้นค่ะ
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 18/04/2007 @ 09:14:04
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.โกลเบล็กแนะนำซื้อ RASAราคาเป้าหมาย 7.15 บาทบริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ได้เริ่มก่อตั้ง ในปี 2538 ในชื่อ บริษัท พาณิชย์ภูมิพัฒนา เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม โดยเน้นเขตพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ โซนเหนือ และโซนตะวันตกของกรุงเทพฯ โดยมีแนวคิดในการพัฒนาโครงการที่เป็นเอกลักษณ์ในแต่ละโครงการ เช่น บ้านสไตล์อิตาเลียน(โครงการปฐมพรการ์เด้นโฮม) บ้านสไตล์สเปน(โครงการรสา สแปนิช คอร์ท ยาร์ด) รวมทั้งการนำเสนอรูปแบบเนวคิดที่โดดเด่นและทันสมัย โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในระดับปานกลาง - สูง(รายได้ 50,000 - 300,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป คาดว่า RASA จะมีรายได้เติบโต 11.6%และ 12.6% ในปี 50 - 51 ตามลำดับ โดยในปี 50 บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากขายที่ยังไม่ได้ส่งมอบ ณ สิ้นปี 49 จำนวนประมาณ 252 ล้านบาท รวมทั้งมีโครงการที่พร้อมขายมูลค่าราว 895 ล้านบาท และโครงการที่จะเปิดขายในปี 50 อีก 1 โครงการ มูลค่า 613ล้านบาท จึงคาดว่าบริษัทจะมียอดรับรู้รายได้ 745 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมเป็นสัดส่วน 74% และ 26% ตามลำดับ คาดว่าในป 50 อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะปรับลดลง เนื่องจากสัดส่วนรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งมีอัตรากํไรขั้นต้นสูงกว่าบ้านเดี่ยวจะลดลงจากปี 49 รวมทั้งการพยายามปิดโครงการ รสาวิลเลจซึ่งเป็นโครงการเก่า และมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำ นอกจากนี้การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดที่อยู่อาศัยจะกดดันความสามารถในการทำกำไรของบริษัท เนื่องจากการปรับราคาขายจะทำได้ยากขึ้น รวมทั้งต้องมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 51 อัตรากํไรขั้นต้นของบริษัทจะฟื้นตัว จากการปรับรูปแบบบ้านให้มีระดับราคาลดลง ซึ่งตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น


บล.เคจีไอแนะนำขาย KKราคาเป้าหมาย 21.47 บาทเราคาดว่า KK จะรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 1/50 ที่ 328 ล้านบาทลดลง52% YoYและ 21% อย่างไรก็ดี หากไม่มีการกลับสำรองและประโยชน์ทางภาษีในไตรมาส 4/49เราคาดว่ากำไรก่อนสำรอง 1/50 (Pre Provision Operating Profit หรือ PPOP)ของ KK ในไตรมาสนี้จะอยู่ที่ 448 ล้านบาทลดลงเพียง 46% YoY แต่เพิ่ม 35% ผลประกอบการที่ดีขึ้น มาจากผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากธุรกิจบริหารสินทรัพย์ที่เคยตกต่ำเหลือเพียง 6.5% ในไตรมาส 4/49 ในขณะที่ผลประกอบการลดลง YoY จากต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงในไตรมาสนี้ เราคาดว่าสินเชื่อของ KK จะขยายตัวเพียง 3.3% จากสินเชื่อเช่าซื้อ ในขณะที่เราคาดว่าสินเชื่อจะขยายตัว 32% YoY และ5% ซึ่งหมายถึงสินเชื่อเช่าซื้อเพิ่มขึ้นสุทธิ 1.5พันล้านบาท สำหรับสินเชื่อโครงการบ้านที่พักอาศัย เราคาดว่าจะไม่มีการขยายตัวของสินเชื่อในธุรกิจนี้ เนื่องจากความไม่มั่นใจของผู้บริโภคตั้งแต่ต้นปี เราคาดว่าส่วนต่างดอกเบี้ยของ KK ในไตรมาส 1/50 จะอยู่ที่4.8%ลดลง 98 bps YoY แต่เพิ่ม 31 bps จากธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ทำให้ผลประกอบการดีขึ้น แม้ว่าเราจะเคยคาดว่าผลตอบแทนจากธุรกิจนี้จะลดลงในอนาคต เราเชื่อว่าผลตอบแทนธุรกิจบริหารสินทรัพย์ที่ตกเหลือเพียง 6.5% ในไตรมาส 4/49 จากระดับปกติที่ 11-12%เป็นเรื่องผิดปกติ ดังนั้นเราคาดว่าผลตอบแทนในไตรมาส 1/50 จะอยู่ที่ 9.5%.


บล.กิมเอ็งแนะนำเป็นบวก กลุ่มสื่อสารราคาเป้าหมาย -จากการรายงานของ Nielsen Media Research เม็ดเงินโฆษณาในเดือนมีนาคมขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.9% yoy เป็น 8,133 ล้านบาท ด้วยสาเหตุหลักคือการเติบโต 4.9% ของเม็ดเงินโฆษณาทางโทรทัศน์ซึ่งเป็นสื่อที่มีการใช้งบโฆษณามากที่สุด ประกอบกับเม็ดเงินโฆษณาทางโรงภาพยนตร์ก็ยังมีการเติบโตที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง จากการที่ภาพยนตร์เรื่องพระนเรศวรฯ ได้กระแสตอบรับดีจากผู้ชมรวมทั้งการเปลี่ยนการเก็บข้อมูลเม็ดเงินโฆษณาสื่อภาพยนตร์โดยรวมเอาเวลาที่ฉายเพลงสรรเสริญฯ และช่วงเช็คเสียงเข้าไปด้วยตั้งแต่ไตรมาส 4/49 ขณะที่ผู้ใช้งบโฆษณารายใหญ่ที่สุดคือ Unilever เพิ่มงบใช้จ่าย 45% เป็น 574 ล้านบาทในเดือนมีนาคม ตามด้วย AIS และ Toyota ส่วนภาครัฐก็มีการใช้งบโฆษณาเพิ่มขึ้นโดยในเดือนมีนาคมใช้เม็ดเงินสูงเป็นอันดับที่หก ในช่วงไตรมาส 1/50 อุตสาหกรรมโฆษณาเติบโต 4.4% เป็น 21,829 ล้านบาทซึ่งมาจากเม็ดเงินสื่อโทรทัศน์และโรงภาพยนตร์ โดยกลุ่มที่ใช้เม็ดเงินสูงยังคงเป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มสื่อสาร อย่างไรก็ดีเม็ดเงินโฆษณาสื่อวิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และสื่อเคลื่อนที่ มีการปรับตัวลดลง แต่เราเชื่อว่าผลด้านฤดูกาลและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมโฆษณาในไตรมาส 2/50ประกอบกับเม็ดเงินโฆษณาจากภาครัฐมีแนวโน้มจะถูกใช้เพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ เช่นการประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มสื่อจากการที่ราคาหุ้นในกลุ่มยังมีส่วนต่างจากราคาเหมาะสมอยู่มากพอสมควร รวมทั้งมีการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอหุ้นเด่นในกลุ่มคือ MCOT และ WORK เนื่องจากราคาหุ้นที่น่าสนใจและอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ประมาณ 6% แม้ว่ากำไรไตรมาส 1/50 คาดว่าจะอ่อนลงเนื่องจากผลกระทบด้านการเมือง นอกจากนั้นเรายังแนะนำ ซื้อ GMMM จากการที่หุ้นซื้อขายที่ PER ต่ำสุดในหุ้นกลุ่มสื่อที่เราทำบทวิเคราะห์ ส่วน MAJOR ก็เป็นหุ้นที่เราชอบเช่นกันจากศักยภาพการเติบโตในระยะยาวและผลประกอบการที่คาดว่าจะเติบโตมากในไตรมาส 1/50 ซึ่งถูกผลักดันจากภาพยนตร์เรื่องพระนเรศวรฯ สำหรับ BEC ก็เป็นหุ้นที่มีฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีการเติบโตสม่ำเสมอแต่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาที่ระดับราคาเหมาะสมแล้ว


บล.ยูไนเต็ดแนะนำถือ IRPCราคาเป้าหมาย 7.00 บาทIRPC เป็นโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีแบบครบวงจร อยู่ในกลุ่ม PTT โดยโรงกลั่นมีกำลังผลิตมากเป็นอันดับ 2 รองจาก TOP หลังการเข้าพบผู้บริหารบริษัท เราได้ประเมินผลกำไร1Q50 ดังนี้ กำไรสุทธิ 1Q50 เริ่มฟื้นตัว โดยเบื้องต้นเราคาดว่าเพิ่มขึ้น 218%QoQ และ9%YoY มาจาก 1) การใช้กำลังการกลั่นได้กลับคืนสู่ระดับปกติที่ 1.9 แสนบาร์เรล/วันในไตรมาสนี้ (อัตราใช้กำลังผลิตที่ 88% จากปี 49 ที่ 84%) หลังการหยุดซ่อมใหญ่ 45 วันใน4Q49 2) ค่าการกลั่น 1Q50 ที่ปรับตัวสูงขึ้นรวมถึงมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน (stock gain)ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นจากต้นปี 50 3) ดอกเบี้ยจ่ายลดลง จากการทำrefinancing เมื่อปลาย 3Q49 และ 4) กำไรจาก FX ตามค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นอีกราว 1.0 บาท/ดอลลาร์จากปลายปี 49 บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ใหม่ เพื่อชำระคืนหนี้เงินกู้ระยะสั้น 800 ล้านเหรียญที่จะครบกำหนดอายุในเดือน ก.ย.50 ปัจจุบันกำลังรอผลการจัดอันดับ Credit rating ซึ่งคาดว่าจะทราบผลใน2Q50 และได้ว่าจ้างบริษัท ShellGlobal Solution ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมีเข้ามาเป็นที่ปรึกษาในการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการกลั่นใน 3 ปีข้างหน้าได้ถึง 3,780 ล้านบาท หรือ 0.30 เหรียญ/บาร์เรลในปี 50 คิดเป็นค่าใช้จ่ายที่ลดลง 756 ล้านบาท (ที่กำลังการกลั่น 2 แสนบาร์เรล/วัน) สำหรับปี 51-52 จะลดลง 0.60 เหรียญ/บาร์เรล (~1,512 ล้านบาท/ปี) จากการเติบโตของกำไรในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะอยู่ในระดับที่จำกัด เนื่องจากบริษัทได้ใช้กำลังผลิตปัจจุบันอย่างเต็มที่แล้ว กำไรที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากโครงการลดต้นทุนการผลิตดังกล่าวมาแล้ว ทำให้ราคาหุ้นอาจปรับขึ้นได้อย่างจำกัด






[/color:c823cf8cfa">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com