มูลค่าการซื้อขายวานนี้ที่มีแค่ 6.84 พันล้านบาท ซึ่งต่ำสุดในรอบ 4 ปี 9 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2546 เสมือนเป็นการบอกใบ้กลายๆ ว่า อย่าหวังได้เห็นบรรยากาศการซื้อขายในระดับ 1 หมื่นล้านบาทในระยะใกล้อีกเลย เพราะสภาพแวดล้อมของตลาดหุ้นไม่จูงใจให้ฝรั่งหัวดำ และฝรั่งหัวทองเข้ามาไล่ซื้อหุ้นเหมือนก่อนหน้านี้นะซี
*ประกอบกับก่อนหน้านี้ "โมนิก้า" ได้พูดคุยกับผู้จัดการกองทุนระดับประเทศหลายรายว่า ไม่มีประโยชน์ในการทุ่มเงินซื้อหุ้นไม่อั้น เพราะของมันเห็นกันแจ่มแจ้งแดงแจ๋ว่าของถูกกว่านี้ยังมีให้ซื้ออีกเพียบ รวมทั้งแก๊ปการเคลื่อนไหวราคาหุ้นแคบมากเหลือเกินแบบนี้...นอนกอดเงินสดแทนหมอนข้างคุ้มกกว่ากันเยอะ
*ที่สำคัญกว่านั้น คือ สถานการณ์ความไม่สงบทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่นับวันคุโชนขึ้นเรื่อยๆ ย่อมส่งผลกระทบกระเทือนต่อการลงทุนในประเทศเต็มๆ ซึ่งเป็นฉนวนเหตุสำคัญที่ทำให้ธุรกิจทั่วไปตกอยู่ในภาวะชงักงัน หลังกำลังซื้อนับวันจะหดหายลงไปเรื่อยๆ นั่นเองเจ้าค่ะ
*อย่างที่รู้! ความรุนแรงกับตลาดหุ้นเป็นของแสลงมาแต่ไหนแต่ไร "โมนิก้า" จึงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ เพราะนักลงทุนทั่วไปคงรับรู้และรับทราบกันโดยทั่วไปว่า หากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามากระตุ้น และสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ในไม่ช้าสภาพของตลาดหุ้นในอนาคตคงไม่ต่างอะไรไปกับป่าช้าวัดดอน...บรื้อๆๆๆๆๆ
*ผลดังกล่าวทำให้หุ้นกลุ่มบลูชิพขยับขึ้นได้ไม่ไกล และบางตัวถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่พื้นฐานของบริษัทแข็งแกร่งกว่าหุ้นเก็งกำไรยอดนิยมหลายเท่า ถือเป็นการตอกย้ำว่านักลงทุนเลือกชลอการลงทุน และพร้อมจะยืนดูเหตุการณ์ต่างๆ อยู่นอกตลาดนะจะบอกให้
*ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้หุ้นเก็งกำไรสั้นๆ ระริกระรี่มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในรายของSUPER อาศัยจังหวะชุลมุนปั่นราคาหุ้นขึ้นมาปิดถึงที่ 1.31 บาท บวกไป 0.30 บาทหรือขึ้นไปถึง 29.70% มองยังไงก็เป็นเพียงการเข้ามาเล่นเก็งกำไรสั้นๆ เพราะจุดกำเนิดของหุ้นตัวนี้มาจากการ แต่ง แต้ม เติม สารพัดวิธี "โมนิก้า" ถึงไม่มีวันเชื่อว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญไงเล่า
*แถมก่อนหน้านี้ทิศทางของหุ้นอยู่ในขาลงด้วยแล้ว การกระชากขึ้นแรงโดยไม่มีเหตุผลรองรับถือเป็นเรื่องที่เดี๊ยนรับไม่ได้อย่างแรง และขอแนะนำให้คนที่เข้าไปไล่ซื้อตอนใกล้ปิดตลาด รีบปล่อยหุ้นออกมาเป็นการด่วนนะค่ะ
*เช่นเดียวกับในรายของ INET รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่ แถมธุรกิจที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญอีกแล้ว แต่เผอิญมูลค่าทางบัญชีของหุ้นอยู่สูงถึงระดับ 2.61บาท ขาใหญ่ก็เลยใช้จังหวะนี้เข้ามาจุดพลุเสียเลย และดูเหมือนจะได้ผลเสียด้วย เพราะราคาหุ้นวิ่งขึ้นพรวดเดียวมาปิดถึงระดับ 1.96 บาท บวกไป 0.34 บาท หรือขึ้นไปกว่า 20% เชียวน่าตัวเอง
*น่าสนใจตรงที่ช่วงห่างของราคาหุ้นในกระดาน และมูลค่าทางบัญชีห่างกันถึง 60สตางค์อย่างนี้ สงสัยไม่ใช่สงครามวันเดียวเหมือนกับรายแรกแล้วหล่ะ เพราะมีแก๊ปให้เล่นกว้างพอสมควรเลยทีเดียว...แต่ถึงกระนั้นก็ต้องชิงไหวชิงพริบจังหวะการซื้อขายหุ้นกันเอาเองนะค่ะ
*ส่วนในรายของ TKT เอาข่าวจ่ายเงินปันผลมาดันราคาแบบนี้ ค่อยมีน้ำหนักและเหตุผลพอรับฟังได้ เพราะเป็นข่าวประเภทเดียวที่ช่วยให้ราคาหุ้นยืนทรงตัวในระดับสูงอย่างแข็งแกร่ง "โมนิก้า" จึงไม่รู้สึกติดใจหุ้นตัวนี้มากเหมือนกับรายแรกที่เกริ่นนำไว้ เพียงแค่อยากเตือนว่า อย่าไล่ราคากันจนลืมขายทำกำไรเท่านั้นพอ
*เนื่องจากหน้าที่ของนักลงทุน คือ ทำทุกวิถีทางให้ได้กำไรมากสุดเท่าที่จะทำได้ฉะนั้นการที่ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 1.66 บาท บวกไป 0.20 บาท หรือขึ้นไปกว่า 13% ถือว่าไม่มากเกินไปเมื่อเทียบกับเงินปันผล 10 สตางค์ เพราะของพรรณนี้ขึ้นอยู่กับขาใหญ่จะเลิกเล่นเมื่อไหร่เท่านั้น อิอิอิอิ
*เจ็บแสบสุดๆ ต้องยกให้ S2Y เพราะเขาว่ากันว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เข้ามาใหม่แต่ละราย ล้วนเป็นร่างทรงทั้งนั้น แต่ราคาหุ้นกลับไม่สะทกสะท้านกับข่าวลือที่แพร่งพรายออกมาแม้แต่นิดเดียว เพราะวานนี้สามารถกระชากขึ้นมาปิดถึงระดับ 3.40 บาท บวกไป 0.24บาท หรือขึ้นไปถึง 11%
*ทั้งที่ในเร็วๆ นี้ ราคาหุ้นต้องอ่อนตัวลงมาสอดรับกับปัจจัยพื้นฐาน แต่ก็ไม่มีใครสนใจเรื่องดังกล่าวเลยนะเนี่ย "โมนิก้า" ถึงต้องออกมาย้ำความไม่ชอบมาพากลเรื่องดังกล่าวครั้งแล้วครั้งเล่า
*ก่อนจากกัน "โมนิก้า" ขอชมเชยตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่สั่งให้ BLISS แจกแจงการจัดสรรหุ้นจำนวนมโหราฬให้กับกรรมการทั้ง 2 ราย หลังพบว่าเหตุผลที่สนับสนุนการออกหุ้น ESOP มันทะแม่งๆ ชอบกล จึงต้องการให้ผู้เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงละเอียดยิบทุกขั้นตอนนะจะบอกให้
*ล่าสุดราคาหุ้นอ่อนตัวลงมาปิดที่ 3.70 บาท ลบไป 0.20 บาท ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่แสนเงียบเหงา เดี๊ยนคิดว่าคงไม่มีพ่อมดการเงินตัวไหนกล้ามาปลุกหุ้นตัวนี้อีกเพราะไม่หลงเหลือสภาพอะไรให้จดจำอีกต่อไปเจ้าค่ะ