May 19, 2024   3:16:02 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 07/03/2007 @ 08:26:53
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.เกียรตินาคินแนะนำซื้อ KTBราคาเป้าหมาย 13.40 บาทเนื่องจากความน่าสนใจลงทุนในช่วงจะประกาศการจ่ายปันผลจากที่เราคาดว่า KTB จะมีการจ่ายปันผล0.55 บาท/หุ้น ซึ่งเป็นระดับเงินปันผลตอบแทนที่สูงที่สุดในระบบธนาคาร และแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/50 ที่ดีกว่าไตรมาส 4/49 จากการได้รับเงินปันผลจากกองทุนวายุภักษ์ แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/50 จะปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 4/49ค่อนข้างมาก เนื่องจากในไตรมาส 1/50 KTB น่าจะมีการตั้งสำรองลดลงจากที่ไตรมาส4/49 KTB มีการตั้งสำรองจำนวนมากตามเกณฑ์ IAS 39 นอกจากนี้ในไตรมาส1/50 KTBจะได้รับเงินปันผลจากกองทุวายุภักษ์ซึ่ง KTB เป็นธนาคารที่มีการลงทุนในกองทุนวายุภักษ์ถึงประมาณ 8 ร้อยล้านบาท (0.30 บาท/หน่วย) หรือคิดเป็นเงินปันผลรับประมาณ 0.08 บาท/หุ้น จากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย R/P 1 วัน ของ ธปท. ลง 2 ครั้งตั้งแต่ต้นปี จาก 4.93% จนเหลือ 4.50% ในขณะนี้ ซึ่ง KTB ก็ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง 2 ครั้งเช่นเดียวกัน โดยครั้งแรกปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 12 -36 เดือนลง 0.25 - 0.50%และอีกครั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากตั้งแต่ 3เดือนขึ้นไปลง 0.25% ซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของ KTB นั้นลดต่ำลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้ปรับตัวสูงขึ้นได้เราคาดว่า KTB จะมีกำไรสุทธิปี 2550 จำนวน 14,434 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2549 2.5%YoY กำไรต่อหุ้น 1.29 บาท/หุ้น และคาดว่า KTB จะมีการจ่ายปันผลจากผลประกอบการปี 2550 จำนวน 0.55 บาท/หุ้น เท่ากับปี 2549 คิดเป็น Div.Yield 4.66% ซึ่งกำไรสุทธิปี 2550 ที่เราคาดนี้ได้รวมผลจากการตั้งสำรองเพิ่มจาก IAS 39 หาก ธปท.ไม่อนุญาตให้นำเครื่องจักรมาเป็นหลักประกันไว้แล้วทั้งนี้หาก ธปท. อนุญาตให้นำเครื่องจักรมาเป็หลักประกันได้จะทำให้การตั้งสำรองลดน้อยลง และจะทำให้ผลประกอบการของ KTBดีกว่าที่เราคาดไว้ได้


บล.ยูไนเต็ดแนะนำซื้อ LANNAราคาเป้าหมาย 12.50 บาทบริษัทรายงานกำไรสุทธิปี 49 ที่ 388 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.11บาท เพิ่มขึ้น 14% YoYส่วนกำไรสุทธิ 4Q49 เหลือเพียง 35 ล้านบาท (-14% YoY, -68% QoQ) โดยคาดว่าเป็นผลจากการหยุดซ่อมโรงงานเอทานอลเป็นเวลา 45 วัน สำหรับกำไรปี 49 ที่เพิ่มขึ้นสาเหตุหลักมาจากกำไรของธุรกิจเอทานอลเพิ่มขึ้นกว่า 5เท่าตัว เป็น 222ล้านบาท จากปริมาณและราคาขายเอทานอลที่เพิ่มขึ้น 20% YoY และ 60% YoY ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้นเป็น 35% จาก 16% ในปี 48 ขณะที่กำไรจากธุรกิจหลักถ่านหินลดลง 51%YoYเป็น 111 ล้านบาท จากต้นทุนขายเพิ่มขึ้น ตามราคาน้ำมันดีเซลและค่าใช้จ่ายในการผลิตถ่านหินเพิ่มขึ้น รวมถึงราคาขายลดลง 8.5% YoY แม้ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 41% YoYแม้กำไรสุทธิปี 49 ต่ำกว่าที่คาด 9% แต่แนวโน้มผลกำไรปี 50 จะเติบโต 13%YoY เป็น 438 ล้านบาท จากกำไรของธุรกิจถ่านหินจะปรับตัวดีขึ้น ตามราคาขายยังอยู่ในระดับสูงที่ 35เหรียญ/ตัน ต้นทุนผลิตลดลง เนื่องจากไม่มีการจ่ายภาษีส่งออกถ่านหินอินโดนีเซีย และต้นทุนขนส่ง (ราคาน้ำมันดีเซล)ที่ลดลงจากปีก่อน แต่กำไรของธุรกิจเอทานอลจะชะลอตัว จากราคาขายที่ลดลงเหลือเพียง 20 บาท/ลิตร (-9%YoY) เพราะรัฐบาลได้มีการปรับสูตรราคาขายเอทานอลในประเทศที่เปลี่ยนไปอิงราคาตลาดโลกที่บราซิลเป็นหลัก ประกอบกับภาวะธุรกิจเอทานอลในปัจจุบันไม่สดใส เนื่องจากปริมาณผลิตเอทานอลล้นตลาด (Oversupply)โดยโรงงาน 6 แห่งสามารถผลิตเอทานอลรวมประมาณ 8.55 แสนตัน/วัน ขณะที่ความต้องการใช้อยู่เพียง 3.58 แสนตัน/ปี ทำให้ปริมาณผลิตเอทานอลสูงกว่าความต้องการใช้ 4.97แสนตัน/วัน คาดว่าปัญหาดังกล่าวจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น


บล.สินเอเชียแนะนำซื้อ GRAMMYราคาเป้าหมาย 7.50 บาทGRAMMY รายงาน 4Q49 กำไรสุทธิของบริษัทฯ ลดลงอยู่ที่ 37 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากธุรกิจจัดกิจกรรมการตลาดที่ลดลงจากไตรมาสที่แล้ว จากปัจจัยลบของเหตุการณ์ระเบิดในช่วงปลายปีที่ผ่านมาทำให้หลายบริษัทยกเลิกการจัดกิจกรรมลง ประกอบกับรายได้ธุรกิจภาพยนตร์ที่ลดลงจากการขาดทุนของภาพยนตร์เรื่อง หมากเตะรีเทิร์น สำหรับเรื่อง เก๋า เก๋านั้นได้รายได้เท่าทุน ขณะที่รายได้จากธุรกิจเพลง ซึ่งเป็นรายได้หลักเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว โดยเพิ่มขึ้น 9% QoQ เนื่องจากมีการออกอัลบั้มทั้งรวมฮิตและอัลบั้มจากนักร้องคุณภาพหลายอัลบั้ม อาทิเช่น Clash, Big Ass และ Boy-Peachmaker จากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมโฆษณาผ่านสื่อ และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในธุรกิจวิทยุ ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องคืนคลื่นวิทยุไป 2 สถานี ขณะที่ต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากการปรับปรุงธุรกิจวิทยุ ส่งผลให้ทั้งปี 49 รายได้ทั้งปี 49 อยู่ที่ 6.08 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 1.0% YoY และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 2.6% YoY มาอยู่ที่ 209 ล้านบาท และประกาศจ่ายเงินปันผลของผลประกอบการครึ่งปีหลัง 49 ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท XD วันที่ 28 มี.ค. 50 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 15 พ.ค. 50 จากเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองที่ส่งผลต่อเนื่องมาในปีนี้และภาวะทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยตรง ดังนั้นเราจึงปรับลดประมาณการรายได้และกำไรสุทธิของบริษัทฯ ปี 50 ลง 4%และ 12.8% มาอยู่ที่ 6.2 พันล้านบาทและ 244 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% YoY และ 16.8% YoY ตามลำดับ นอกจากนี้เราได้ปรับลดราคาเป้าหมายลง จาก 8.00 บาท/หุ้น เป็น 7.50 บาท/หุ้น


บล.เคจีไอแนะนำถือ ITDราคาเป้าหมาย 7.10 บาทITD รายงานยอดขาดทุนสุทธิจำนวนมากถึง 2.1 พันล้านบาทลดลงจากที่เคยกำไร 1.3 พันล้านบาทในปี 2548 ตัวเลขนี้ต่ำกว่าที่เราคาด 49% และต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดถึง 40% ตัวเลขติดลบนี้เกิดจากยอดขาดทุนก้อนโตในไตรมาส 4/49 ถึง 725 ล้านบาทจากการตั้งสำรองเพิ่มเติมในไตรมาส 4/49 ส่วนกำไรขั้นต้นของ ITD ในไตรมาส 4/49 ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 6.9% จาก 6.5% ในไตรมาส 3/49 แต่ลดลงจาก 9.3% ในไตรมาส 4/48ตามความคาดหมาย กำไรขั้นต้นตลอดปี 2549 อยู่ที่ 5.1% ลดลงจาก 6.4% ในปี 2548ตัวเลขนี้เกิดจากต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันใน 9M50 และต้นทุนจากโครงการก่อสร้างต่างๆ เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ "โคล" ในอินเดีย โครงการ PhullayBeachResort โครงการก่อสร้างถนนวงแหวนด้านใต้ โครงการ Inter City Motorwayและโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่ม 62% ในปี 2549 จากภาระดอกเบี้ยของเงินกู้ให้กับ ITD Cementation ในอินเดียและเหมืองโปแตชค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยในปี 2549 อยู่ที่ 956 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 62% ITD แสดงผลประกอบการที่น่าผิดหวังสำหรับตลาด และเราเชื่อว่าราคาหุ้นจะปรับตัวสะท้อนข่าวร้ายนี้ คาดว่าจะมีการปรับประมาณการ เว้นแต่ ITD จะทำการชี้แจงถึงปัญหาสำรองเพิ่มเติมในปีนี้ว่าจะมีอีกมากน้อยหรือไม่เพียงใด สำหรับกลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำให้รอจนกว่าจะมีความชัดเจน ก่อนเริ่มซื้อสะสมหุ้นอีกครั้ง เมื่อราคาหุ้นอยู่ในระดับราคาที่น่าสนใจ
[/color:693f008e1f">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com