May 19, 2024   12:29:55 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สังคมหุ้น
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 28/02/2007 @ 08:49:55
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

หนังสือพิมพ์ ข่าวหุ้นธุรกิจ ฉบับประจำวันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2550 ผ่านไปแล้ว 2 เดือน มีหุ้นใหม่เข้าตลาดมาเพิ่มเติมเพียงแค่ 1 รายเท่านั้น และเดือนกุมภาพันธ์ไม่มีแม้แต่รายเดียว* สถานการณ์ยามนี้ ไม่เอื้ออำนวยให้ตลาดหุ้นกลายสภาพเป็นขาขึ้นได้เลย ไม่ว่าต่างชาติจะเข้ามาซื้อเติมแค่ไหนก็ตามที เพราะนักลงทุนในประเทศมองไม่เห็นบรรยากาศที่ดีกับการเก็งกำไรแม้แต่น้อย* ล่าสุด วานนี้ ไอ้โม่งที่ไหนไม่ทราบ อยู่เบื้องหลังดันราคาหุ้น ITV ที่กำลังรอขึ้นเขียงเชือด บวกขึ้นมาถึง 10% ก่อนที่จะถูกขึ้นเครื่องหมาย H ในภาคบ่าย ตายหยังเขียดสำหรับคนที่หลงกลซื้อไปภาคเช้า* มติครม. ที่เลือกข้อเสนอออกมา ชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลจะยึดคลื่นคืน ปล่อย ITV เหลือแต่ซากพร้อมหนี้อีก 1 แสนล้านบาทไปแก้ทางกฎหมายกันเอาเอง ส่วนรัฐบาลก็จะได้รัฐวิสาหกิจใหม่เพิ่มมาอีก 1 ราย โดยจะแบ่งกรรมการบางคนจาก อสมท. เข้าไปช่วยกำกับดูแล ก่อนแต่งตัวใหม่ขายให้เอกชนที่สนใจเข้าไปดำเนินการใน 4-5 เดือนข้างหน้า* งานนี้ เดาทางของเตมาเซค โฮลดิ้ง ของสิงคโปร์ได้อย่างเดียวว่า ต้อง cut lossอย่างเดียว ยอมล้มละลายไป ไม่มีการอัดฉีดเงินใหม่เพิ่ม ผู้ถือหุ้น ITV สูญเงินฟรีแน่นอน* ตัวอย่างง่ายๆที่สะท้อนออกมา SHIN มีกำไรตลอดปี 2549 แค่หุ้นละ 1.09 บาท แต่เชือดเนื้อตัวเอง เอากำไรสะสมสะสมเก่าออกมาจ่ายปันผลหุ้นละ 2.30 บาท แสดงว่าไม่คิดจะขยายธุรกิจในเมืองไทยอีกแล้ว โชคดีที่กำไรสะสมเก่าของบริษัท มีกว่า 2 หมื่นล้านบาท ก็เลยเชือดเอามาโปะคืนผู้ถือหุ้นได้ก่อน?ถอนทุน ก่อนไม่มีทุนให้ถอน* มองจากมุมของการลงทุนล้วนๆ ?เกียรติก้อง? ยอมรับว่า เป็นการตัดสินใจที่ไม่มีทางเลือก เพราะสภาพของ SHIN ยุคต่อต้านสิงคโปร์ขึ้นสมองของผุ้มีอำนาจรัฐไทยยามนี้ จะให้ดันทุรังขยายกิจการไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งไม่เข้าท่าเอาเสียเลย คงจะเป็นบทเรียนที่ลี โฮ ชิง ต้องจำไปอีกนานสำหรับการบุกต่างประเทศ เมื่อเจอมาตรการ โหด มัน ฮา* ผลจากการตัดสินใจของรัฐบาลขิงแก่วานนี้ พนักงานไอทีวี จะต้องเปลี่ยนฐานะ ลาออกจากงานเก่า มาสมัครใหม่ ภายใต้ชื่อแบรนด์สถานีใหม่ ซึ่งรัฐจะอัดฉีดเงินจากงบกลาง(ภาษีอากรประชาชนนั่นแหละ) ประมาณ 1 พันล้านบาทเข้ามาประคองสถานการณ์ ก่อนประมูลขายต่อภายใต้มาตรการ 3 ข้อ 1) พนักงานไม่ตกงาน 2) ไม่เปลี่ยนผู้จัดรายการ 3) ไม่หยุดออกอากาศ* สิ่งที่แน่ๆคือ การใส่เงินงบประมาณรัฐอีกก้อนหนึ่งไปดำเนินการ เข้าข่ายแปลงหนี้เอกชนเป็นภาระของรัฐ...อย่างไม่ต้องสงสัย* ไหนๆ ก็ไหนๆ ?เกียรติก้อง?ขอเสนอ บุคคลที่เป็นตัวเลือกให้เข้ามานั่งเป็นกรรมการบริหาร และผู้บริหารของสถานีรัฐวิสาหกิจใหม่นี้ ควรประกอบด้วย สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์สุภิญญา กลางณรงค์ สุริยะไส กตะศิลา เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง รสนา โตสิตระกูล โสภณสุภาพงษ์ อัญชลี ไพรีรักษ์ และ วุฒิพงศ์ เพียบจริยวัฒน์* หากจะให้เจ๋งกว่านั้น ประธานกรรมการที่เหมาะสมที่สุด....ชัยอนันต์ สมุทวณิช หรืออาจารย์ปิ๋ง ของใครบางคนนั่นเอง* เปลี่ยนเรื่องดีๆกับเขามั่ง PTT หุ้นขวัญใจนักลงทุน รายงานผลกำไรน่าชื่นใจเหมือนเดิม กำไรสุทธิรวม 95,260.60 ล้านบาท หรือ หุ้นละ 34.02บาท ขยายตัว 11.38% เทียบกับปี 2548 กำไรสุทธิ 85,521.29 ล้านบาท หรือ 30.57บาทต่อหุ้น* กำไรดังกล่าว เกิดจากมีรายได้จากการขายของทั้งเครือ จำนวน 1,213,985 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 31.1% ซึ่งผลของกำไรนี้ ทำให้ บุ๊ค แวลลู หรือ มูลค่าหุ้นทางบัญชีล่าสุดของปตท.อยู่ที่ 102.62 บาทต่อหุ้น* ข้อมูลนี้ ?เกียรติก้อง? ขอย้ำไปให้ได้ยินถึงกลุ่มพวกที่คิดจะนำปตท.กลับคืนเป็นรัฐวิสาหกิจว่า การบอนไซบริษัทน้ำมันแห่งชาติที่เป็นเสาหลักทางด้านความมั่นคงทางพลังงาน(ตราบใดที่ยังไม่มีพลังงานทดแทนอื่นมาแทนได้ หรือไม่ยอมรับ) หากคิดจะเอาหุ้นออกจากตลาดหุ้น รัฐต้องหาเงินสดมาจ่ายนักลงทุนในราคาไม่ต่ำกว่าบุ๊คแวลลู ซึ่งคิดเป็นวงเงินประมาณ 1 แสนล้านบาท อย่างต่ำ* เรื่องที่จะซื้อคืนราคาพาร์นั้น เป็นหลักการที่ใช้กับเฉพาะชาติด้อยพัฒนา หรือเผด็จการเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่ชาติที่เป็นนิติรัฐแต่อย่างใด ใครที่ยังคิดคับแคบอย่างนี้ ขอแนะให้ไปดูภาพยนตร์เรื่อง The Last King of Scotland ประวัติอีอี้ อามิน จอมเผด็จการแห่งยูกานดาดูเอาเอง* ความเสียหายจากความรักชาติแบบตาบอด ของพวกไม่ปรากฏอาชีพเป็นหลักเป็นฐาน ที่คิดเอามุมของตนเองเป็นหลัก ไม่คำนึงถึงปัญหาที่มาที่ไป โดยอ้างถึงความรักชาติและจริยธรรมลมๆแล้งๆ เป็นต้นทุนมหาศาลที่คนไทยต้องแบกรับ* ข่าวร้ายล่าสุด หลายเดือนมานี้ อัตราการจ้างงานใหม่ในภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทยลดลงไปอย่างฮวบฮาบ สาเหตุ 2 ประการคือ 1) สินค้าราคาถูกจากจีนตีตลาดอย่างหนักเพราะความสามารถแข่งขันของเราลดลง 2) มาตรการ 30% ทำให้ต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้นจนไม่จูงใจให้ลงทุนใหม่...เป็นปัจจัยเสี่ยงใหม่

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com