บล.เกียรตินาคินแนะนำซื้อ PRINราคาเป้าหมาย 4.90 บาทผู้บริหารเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ในปี 50 13 โครงการ โดยมีสินค้าที่หลากหลายทั้งคอนโดมีเนียม ทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว คาดหวังคอนโดมีเนียมช่วยผลักดันยอด Presaleไปถึง 4,500-5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81% เมื่อเทียบกับปี49 ที่สามารถทำยอด Presaleได้ 2,478ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยปรับลดลง เป็น 3.02ล้านบาทต่อหน่วย เมื่อเทียบกับปี49 ที่เปิดตัวโครงการราคาเฉลี่ย 3.33 ล้านบาทต่อหน่วย รายได้จาการขาย 999 ล้านบาท เพิ่มขึ้น15%QoQ และลดลง 4%YoY โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงเป็น 30.2%เมื่อเทียบกับ 3Q49 ที่ 32.5% และ 4Q48 ที่30.6% เนื่องจากการับรู้รายได้ของโครงการThe Pluse ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีหมดลง และมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 117ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%QoQ และ15% YoY มาจาก ค่าโบนัสพนักงานและจากการทำPromotion เพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยมีภาระดอกเบี้ยจ่าย 2.3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 76% อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ปรับเพิ่มเป็น 32.1% เมื่อเทียบกับ ปี 4830.3% มาจากการรับรู้รายได้โครงการ The Pluse ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ค่อนข้างสูง โดยบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น36%YoY เมื่อเทียบกับยอดขาย (SG&A/Sale) อยู่ที่ 12%เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 48 ที่ 11% คาดปี 49 จ่ายปันผล 0.26 บาทต่อหุ้น ประมาณการปี 50 คาดบริษัทมีรายได้จากการขาย 3,285 ล้านบาท กำไรสุทธิ 469 ล้านบาท EPS0.70 บาทต่อหุ้น

บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อ BAFSราคาเป้าหมาย 11.30 บาทบริษัทประกาศผลการดำเนินงานประจำปี 2549 ออกมามีกำไรสุทธิ 461 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.09 บาท เติบโต 11% yoy และดีกว่าที่เราคาดไว้ 11% (จากการตัดค่าเสื่อมราคาต่ำกว่าคาดในไตรมาส 4/49) ปริมาณการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานของบริษัทที่เพิ่มขึ้น 4.9% เป็น 4,271 ล้านลิตร จาก 4,070 ล้านลิตร ในช่วงเดียวกันของปีก่อนและการปรับอัตราค่าบริการเพิ่มขึ้นจาก 2.74 เซนต์/แกลลอน เป็น ประมาณ 5เซนต์/แกลลอน หลังจากย้ายสนามบินมาที่สุวรรณภูมิในวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ก็เป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนผลกำไรของบริษัทในปีที่ผ่านมา แม้ว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะกระทบต่อรายได้และผลกำไรของบริษัทบ้างก็ตาม สำหรับกำไรสุทธิในไตรมาส 4/49 อยู่ที่ 125 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.29 เติบโต 75% yoy ซึ่งผลกำไรที่เติบโตสูงเป็นผลมาจากการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิเต็มรูปแบบเป็นไตรมาสแรกทำให้ปริมาณการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานและค่าบริการเพิ่มขึ้น แม้ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นรวมไปถึงค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงานในไตรมาสนี้แต่ผลกำไรก็ยังเติบโตได้ดีอยู่ จากผลกำไรที่ดีกว่าคาด ทำให้เราปรับประมาณการผลกำไรปี 2550 เพิ่มขึ้น 4% โดยเราคาดว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานเติบโตเป็น 481 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.13 บาทเนื่องจากบริษัทจะเริ่มบันทึกรายได้และผลกำไรจากสนามบินสุวรรณภูมิในปีนี้อย่างเต็มรูปแบบเป็นปีแรก ซึ่ง่ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของปริมาณการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานและค่าบริการที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทจะต้องเริ่มรับรู้ค่าเสื่อมราคาของสนามบินใหม่ประมาณ 420 ล้านบาท เต็มปีอีกด้วย เราคาดว่าปริมาณการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานในปีนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4.4% เป็น 4,459 ล้านลิตร

บล.ธนชาตแนะนำซื้อ BCPราคาเป้าหมาย 10.60 บาทBCP รายงานขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานปกติใน 4Q06 ที่ 818m เทียบกับขาดทุนฯ ที่ 755 ล้านบาท ใน 4Q05 และกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ 155ล้านบาท ใน 3Q06ซึ่งผลการดำเนินงานดังกล่าวแย่กว่าที่เราคาดไว้มาก สำหรับผลการดำเนินงานที่ออกมาแย่มากใน 4Q06 ส่งผลให้ทั้งปี 2006 บริษัทฯ มีขาดทุนฯอยู่ที่ 544 ล้านบาท จากที่มีกำไรฯ2.2 พันล้านบาท ในปี 2005 ผลการดำเนินงานที่ออกมาแย่มากนี้ มีสาเหตุมาจาก GRM ที่ลดลงอย่างมากจนเป็นตัวเลขติดลบ โดย BCP มีความสามารถจำกัดในการที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตของตนเองในช่วงที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมาก เนื่องจากธุรกิจของบริษัทฯ เป็นธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันประเภท simple refinery โดย grossmargin ใน 4Q06 ลดลงเป็น -3.3% เทียบกับ +0.5% ในปี 4Q05 และ +3.7% ใน 3Q0ขณะที่ EBITDAก็กลายเป็นติดลบที่ 1.1 พันล้านบาท ใน 4Q06 สำหรับแนวโน้มในอนาคต ผลการดำเนินงานของ BCP จะปรับตัวดีขึ้นจากGRM ที่สูงขึ้นใน 1Q07 (โดย GRM ของโรงกลั่นแบบsimple refinery ในสิงคโปร์ปรับเพิ่มขึ้นเป็น -0.5 USD/bbl จาก -3.1 USD/bblใน 4Q06 แม้เราไม่คาดว่าผลการดำเนินงานของ BCP จะปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจนกระทั่ง 2H07 เนื่องจากเราคาดว่าราคาน้ำมันจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นใน 2H07 และทรงตัวอย่างแข็งแกร่งต่อไปในปี 2008 แต่เราเชื่อว่า ราคาหุ้นของ BCP ในปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยลบต่างๆ ไปแล้ว

บล.ยูไนเต็ดแนะนำขาย GFPTราคาเป้าหมาย 11.94 บาทผลประกอบการ 4Q49 พลิกกลับเป็นบวกตามคาด โดยพลิกจากขาดทุนสุทธิกว่า 32.0 ล้านบาทใน 3Q49 เป็นมีกำไรสุทธิกว่า 74.2 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากราคาไก่เฉลี่ยในช่วง 4Q49 ที่ผ่านมาที่สูงกว่าระดับต้นทุนการเลี้ยงอีกครั้งสู่ 31-32 บาทต่อก.ก. ทำให้ผลการดำเนินงานของธุรกิจชำแหละไก่ฟื้นตัวอย่างมาก ประกอบกับธุรกิจอาหารสัตว์ที่ยังคงสร้างกำไรเติบโตต่อเนื่องจากการรุกเจาะตลาดอาหารสัตว์น้ำมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารปลาและการขยายฐานลูกค้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน จึงทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานฟื้นตัวจากระดับ 1.3%ใน 3Q49 สู่ 5.0% ใน 4Q49 ส่งผลต่อเนื่องผลการดำเนินงาน 4Q49 ฟื้นตัวโดดเด่นอีกครั้งกว่า 3.3 เท่าตัว ภาพรวมทั้งปี 49 มีกำไรสุทธิ 112.0 ล้านบาท เทียบเท่ากำไรต่อหุ้น 0.89 บาท อย่างไรก็ตาม จากการเปลี่ยนแปลงอัตราจ่ายเงินปันผลของบริษัทที่ลดลงเป็นต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ทำให้เราคาดบริษัทจะประกาศจ่ายเงินปันผลราว 0.32 บาทต่อหุ้นหรือคิดเป็นผลตอบแทนราว 2.7%ต่อปีประกอบกับเรายังกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการ 1Q49 ที่แย่ลงอีกครั้งตามราคาไก่เฉลี่ยที่ต่ำลงมากกว่าต้นทุนและความกดดันจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์หลักอย่างข้าวโพดที่เพิ่มขึ้น