May 19, 2024   12:30:09 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 27/02/2007 @ 11:01:03
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.เกียรตินาคินแนะนำขาย RSราคาเป้าหมาย 4.80 บาทผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ในปี 50 ที่ 3,500 ลบ. เพิ่มขึ้นประมาณ 15%จากปี 49 โดยมุ่งเน้นไปที่การเติบโตของธุรกิจ Digital (จากประมาณ 250 ลบ. ในปี 49 เป็น 400 ลบ.ในปี 50), การจัดกิจกรรม (จากการมี บ.ย่อย RSi-dream ทำโครงการใหญ่ เช่น งานอีซูซุ ออลสตาร์ ฮีโร่ เฟสติวัล 2007 และได้ลิขสิทธิ์อุลตร้าแมน เป็นต้น) และภาพยนตร์ (ตั้งเป้าจะผลิต 6 เรื่องในปี 50 จาก 5เรื่องในปี 49) แต่อย่างไรก็ตาม เรายังคงประมาณการรายได้ในปี 50 เท่ากับ 2,734 ลบ.ลดลง 11% yoy เนื่องจากคาดว่าในส่วนของธุรกิจ Media ของบริษัทจะมีรายได้ที่ลดลงจากรายการ TV ที่ลดลง 50% จากปี 49แม้ว่าคาดว่ารายได้จากในส่วนของPublishing จะเพิ่มขึ้นก็ตาม จากที่ นสพ.ดาราเดลี่ของบริษัทเริ่มได้รับความนิยม และในส่วนธุรกิจ Content เราคาดว่าจะลดลงเช่นเดียวกันจากธุรกิจ Musicที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และเรายังไม่มีความมั่นใจว่าธุรกิจDigital จะเติบโตตามที่บริษัทตั้งเป้าไว้ นอกจากนี้คาดว่าธุรกิจการจัดกิจกรรมจะได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง สำหรับผลการดำเนินงานปี 50 แม้เราคาดว่าบริษัทจะมีรายได้รวมลดลงแต่อย่างไรก็ตามเราคาดว่าบริษัทจะมีอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น จาก 29% ในปี 49 เป็น 36% ในปี 50 ตามแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตามนโยบายการบริหารที่จะตัดส่วนธุรกิจไม่ทำกำไรออกไปและเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจเดิม (คาดธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์เริ่มมีกำไรในปี50) คาดกำไรสุทธิปี 50 เท่ากับ 209 ลบ. เพิ่มขึ้น 21% yoy คาดกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.30 บาทและคาดจากผลการดำเนินงานปี 50 บริษัทจะจ่ายเงินปันผลเท่ากับ 0.15 บาท/หุ้น คิดเป็นDiv Yield เท่ากับ 3% แม้ว่าปี 50 ผู้บริหารจะตั้งเป้ารายได้ 3,500 ลบ. เติบโตประมาณ 15%yoy จากการเติบโตในธุรกิจดิจิตอลและการจัดกิจกรรม แต่อย่างไรก็ตามเรายังคงประมาณการว่าปี 50 บริษัทจะมีรายได้เท่ากับ 2,734 ลบ. ลดลงประมาณ 10% yoy จากรายการ TV ที่ลดลง 50% จากปี 49 และเรายังไม่เห็น Trend ว่าธุรกิจดิจิตอลจะเติบโตสูงในปี 50 นอกจากนี้คาดว่าธุรกิจการจัดกิจกรรมจะได้รับผลกระทบจากภาวะการเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจน

บล.เอเซีย พลัสแนะนำถือ BIG Cราคาเป้าหมาย 45.51 บาทBIGC มีกำไรสุทธิงวด 4Q49 เท่ากับ 559 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 2.9% YoY โดยมาจาก 1) ยอดขายที่เติบโต 8.1% 2) Gross Margin เพิ่มสูงขึ้นจาก 16.1% ใน งวด3Q48 มาอยู่ที่ 16.6% และ 3) รายได้อื่นเพิ่มขึ้น 26.4% yoy เป็นผลของอำนาจในการต่อรองรายได้ค่าสนับสนุนจากซัพพลายเออร์มากขึ้น จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนสาขาอย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานกลับเพิ่มขึ้นสูงมากจากผลของการขยายสาขาเพิ่มขึ้นและการเพิ่มขึ้นค่าใช้จ่ายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ส่งผลให้สัดส่วน SG&A/Salesเพิ่มขึ้นจาก 15.5% ในงวด 4Q48 มาอยู่ที่ 16.7% ในงวด 3Q49 และเมื่อรวมผลการดำเนินงานทั้งปี 2549 BIGC มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 2,124 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8% ต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัยประมาณการไว้ถึง 143 ล้านบาท แม้ว่าในปี 2549 จะมีการขยายสาขาถึง 4 สาขาคือ แพร่ ราชบุรี ลำลูกกา และปราจีนบุรี ผลจากกำไรสุทธิปี 2549 ที่ต่ำกว่าคาด รวมทั้งคาดว่า BIGC จะได้รับผลกระทบยอดขายที่ชะลอตัวลงในงวด 1Q50 จากเหตุการณ์ระเบิด ฝ่ายวิจัยจึงได้ปรับลดผลกำไรปี 2550 ลง 7% แม้เรายังคาดการณ์ว่า BIGC จะสามารถขยายสาขาเพิ่มในปี 2550 ได้อีก 4 สาขาจากใบอนุญาตทียังเหลืออยู่ ผลจากการปรับลดประมาณทำให้คาดกำไรปี 2550 เท่ากับ 2,431.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.5% และเป็นผลให้มูลค่าพื้นฐานของหุ้นใหม่ โดยอิง PER 15 เท่า ลดลงมาอยู่ที่ 45.51 บาท ใกล้เคียงกับราคาตลาดปัจจุบัน เราจึงเปลี่ยนคำแนะนำจากเดิมที่ให้ ซื้อ มาเป็นถือ เพื่อรอรับเงินปันผลซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 1.72 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield 3.76%

บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อ HMPROราคาเป้าหมาย 6.10 บาทผลประกอบการไตรมาส 4/49 ของ HMPRO ดีกว่าที่เราคาดการณ์ โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 20% yoy เป็น 191 ล้านบาทเนื่องจากยอดขายและรายได้อื่นๆที่สูงกว่าคาด เราเชื่อว่ายอดขายที่เติบโตขึ้น 24% จะมาจากการที่ยอดขายต่อสาขา (Same-store sales) เพิ่มขึ้นหลังจากการแย่งลูกค้ากันเองระหว่างสาขาลดน้อยลง ประกอบกับการมีพื้นที่ขายเพิ่มขึ้นประมาณ 20,000 ตารางเมตร จากการเปิดสาขาเพิ่ม 2 แห่ง คือที่อุดรธานีและสุราษฎร์ธานีรวมทั้งสาขาขอนแก่น ซึ่งเปิดในช่วงปลายเดือนกันยายน สำหรับรายได้อื่นที่ดีกว่าคาดก็น่าจะมาจากงาน Home Pro Expo ซึ่งจัดในช่วงปลายเดือนตุลาคม โดยประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับการจัดครั้งก่อนๆ นอกจากนั้นรายได้ค่าเช่าจากสาขาบางนาและหัวหิน ซึ่งพื้นที่เช่ายังมีอัตราการเข้าเช่าสูงราว 90% ก็ช่วยผลักดันรายได้อื่นด้วย แม้ว่าดอกเบี้ยจ่ายจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่โดยรวมแล้วกำไรปี 2549 ยังเพิ่มขึ้นถึง 21% yoyเป็น 609 ล้านบาท (0.59 บาท/หุ้น) เนื่องจากการเปิดสาขาใหม่รวม 6 แห่ง การที่อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจาก 21.6% ในปี 2548 เป็น 22.9% หลังจากที่บริษัทเน้นขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเองมากขึ้น ประกอบกับการได้รับเงินชดเชยจากซัพพลายเออร์เพิ่มขึ้นเนื่องจากสินค้าที่มีปริมาณขายมากขึ้น เราได้ปรับประมาณการกำไรปี 2550 และ 2551 ขึ้น 9%และ 15% ตามลำดับเพื่อสะท้อนกำไรที่ดีกว่าคาดและแนวโน้มการขยายตัวที่ต่อเนื่องของบริษัททั้งจากการเปิดสาขาใหม่และการเพิ่มขึ้นของยอดขายของสาขาเดิม รวมไปถึงรายได้เสริมจากการจัดงาน Home Pro Expo และรายได้จากการให้เช่าพื้นที่ โดยเราประเมินกำไรปีนี้ที่ 728 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20%

บล.ธนชาตแนะนำซื้อ STAราคาเป้าหมาย -ราคายางในตลาดสิงคโปร์ยังคงปรับขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุด ยางแผ่น RSS3ปรับขึ้นมาเป็น USD2,165/ตัน ในขณะที่ราคายางแท่ง STR20 ก็ปรับขึ้นมาเป็นUSD2,240/ตัน และทำให้ราคาเฉลี่ยของ RSS3 และ STR20 ในเดือน ก.พ.จนถึงปัจจุบันเพิ่มขึ้น 4% และ 16% m-m ตามลำดับ ราคายางที่ปรับตัวสูงขึ้นนี้อาจทำให้ราคาเฉลี่ยในปีนี้ยังคงสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2006 (ซึ่งย่างแผ่น RSS3 เฉลี่ยที่ USD2,076/ตัน ในขณะที่ยางแท่ง STR20 เฉลี่ยที่ USD1,950/ตัน) และน่าจะทำให้ผลประกอบการทั้งปีของ STAในปีนี้ยังคงเติบโต ทั้งจากปริมาณจำหน่ายและราคาเฉลี่ยที่น่าจะดีขึ้น สำหรับผลประกอบการปี 2006 ที่กำลังจะประกาศนั้น เราคาดว่าอาจออกมาดีกว่าที่เราคาดไว้ คือน่าจะมีกำไรเกิน 500 ล้านบาท เทียบกับที่ขาดทุน 173ล้านบาทในปี 2005 ซึ่งแม้ว่าจะเป็นที่คาดการณ์ของนักวิเคราะห์อยู่แล้ว แต่เราเชื่อว่าข่าวดีทั้งด้านผลประกอบการ และราคายางที่ยังปรับขึ้นต่อเนื่องน่าจะทำให้ราคาหุ้น STA มีupside จากปัจจุบัน หากอิงประมาณการของฝ่ายกลยุทธ์ที่คาดว่า STA จะมีกำไรในปีที่ผ่านมาที่ 498 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 19% y-y ในปีนี้ เป็นราว 593 ล้านบาท จะทำให้STA มีP/E ในปีนี้-หน้าเพียง 5.9 เท่า และ 5.0 เท่า ตามลำดับ และหากใช้นโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ 30% ของกำไรสุทธิ จะทำให้มี dividend yield ราว 5%ในปีนี้ และ 6% ในปีหน้า ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังไม่มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลนักลงทุนจึงจะได้รับเงินปันผลเต็มปีสำหรับผลประกอบการในปี 2006 ซี่งเราคาดว่าจะอยู่ที่ราว 0.75 บาท/หุ้น และน่าจะจ่ายในราวกลาง พ.ค.07

ที่มา ข่าวหุ้น[/color:f363a75fbf">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com