May 19, 2024   4:11:31 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กระซิบ ...กระซิบ...
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 21/02/2007 @ 10:16:25
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ที่มา : K.KRAZIP

SET Index วันอังคารที่ 20 ก.พ. ปิดที่ 690.67 จุด +5.29 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6,592ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 443.68 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิที่ 174.77 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิที่
268.92 ล้านบาท SET Index ทำ High ที่ดัชนี 691.44จุด +6.06 จุด และ Low ที่ดัชนี 686.48 จุด +1.10 จุด
ตลาดวานนี้ดีดตัวกลับมาเป็นบวกได้หลังเมื่อวันจันทร์ปิดปรับตัวลดลงแต่มูลค่าการซื้อขายยังคงบางเฉียบไม่ต่างกันมาก ตลาดต่างประเทศในภูมิภาคยังคงปิดทำการอยู่หลายแห่งเนื่องในวันปีใหม่ของจีน ทิศทางตลาดบ้านเราจึงไม่ได้อิงกับทิศทางดัชนีของเพื่อนบ้านแต่การที่ตลาดหุ้นฮ่องกงและสิงคโปร์ปิดทำการนั้นส่งผลต่อการส่งคำสั่งซื้อขายจากนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาในบ้าน วอลุ่มที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จึงเกิดจากนักลงทุนในประเทศซื้อขายกัน
ซึ่งบรรยากาศของการลงทุนวานนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กกันค่อนข้างหนาตา
เทรดหุ้นเล็ก ๆ กันตั้งแต่เช้าเปิดทำการไปยังปิดรอบเย็นโดยตลาดไม่มีทั้งข่าวบวกและลบเข้ามากระทบ
จะมีก็เพียงที่ต่างชาติพลิกมาขายสุทธิตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งดัชนีวันนี้อาจยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ วอลุ่มจะมีมากกว่า 2 วันทำการที่ผ่านมาเพราะหลายตลาดในภูมิภาคจะเริ่มเปิดทำการตามปกติ แนวต้านสำคัญของSET Indexยังคงอยู่ที่ 700 จุด ซึ่งหากดัชนีปรับขึ้นมาจริง K.KRAZIP ก็แนะนำให้ทยอยขายออกไปก่อนบ้างเดี๋ยวผ่านไปไม่ได้เหมือนรอบที่แล้วจะได้ลงมารับของคืนกันได้เพราะปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน,
การเมือง,รวมถึงเหตุการณ์รุนแรงทางภาคใต้ที่พึ่งประทุขึ้นมาใหม่อีกรอบยังคงเป็นปัจจัยลบที่ยังคอยกดดันสภาพตลาดอยู RATCH
ราคาเปิด 44.25 บาท ราคาปิด 44.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 24.432 ล้านบาท ถึงแม้คาดการณ์รายได้ปี50 จะลดลง 10% จากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 5 หมื่นล้านบาท จากการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า 4 โรง จำนวน 57 วัน

แต่มั่นใจว่าในปี51 รายได้จะเติบโตเพิ่มขึ้น จากกำลังการผลิตใหม่จากโรงไฟฟ้าราชบุรี เพาเวอร์ นอกจากนี้ RATCH
ยังมีแผนที่จะทบทวนนโยบายการดำเนินธุรกิจ โดยอาจจะหันมาประมูลก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนานเล็กในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อตอบสนองนโยบายของทางการที่ให้การสนับสนุนภาคเอกชนก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก

ด้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าน้ำงึม2 ก็เร็วกว่าแผนถึง 4 เดือนจึงมีแนวโน้มว่าอาจจะก่อสร้างเสร็จเร็วกว่ากำหนดการเดิม ด้านการลงทุนขณะนี้
RATCH อยู่ระหว่างเจรจาเข้าลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศพม่า โดยในปี 2550-2554 จะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 25 พันลบ. เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าทั้งในและนอกประเทศ K.KRAZIP แนะนำ ซื้อ แนวรับ 44.50 บาท แนวต้าน 47 บาท SF ราคาเปิด - ปิด 9.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3.70 ล้านบาท กำไรของ SF ลดลง 85% qoq เป็น 36 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากรายได้จากสัญญาเช่าการเงินที่ลดลงจากโครงการเอสพลานาด ซึ่งเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท เนื่องจากรายได้จากสัญญาเช่าการเงินส่วนใหญ่ได้ถูกบันทึกไปในไตรมาส 3/49 อย่างไรก็ดีกำไรสุทธิในปี 2549 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้เนื่องจากการเปิดโครงการ 4 โครงการ ทำให้มีการรับรู้รายได้จากสัญญาเช่าการเงินเป็นจำนวนมาก หลังจากเปลี่ยนนโยบายการบันทึกบัญชี ส่วนแนวโน้มปีนี้คาดว่าผลประกอบการจะยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากรายได้ค่าเช่า และการทำโครงการใหม่ 5 โครงการ ซึ่งส่งผลให้การเติบโตในระยาวจะถูกขับเคลื่อนจากการปรับค่าเช่า 15% ทุก ๆ 3
ปีสำหรับสัญญาเช่าระยะสั้น รวมทั้งการขยายโครงการใหม่ ๆ ซึ่งบริษัทคาดว่าพื้นที่เช่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปีในช่วง 2549 ? 2553 K.KRAZIP มีความเห็นว่า SF ยังมีฐานะการเงินอยู่ในเกณฑ์ดี
และสามารถจ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอ โดยบริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผล 0.35 บาท/หุ้น ( XD วันที่ 26 มี.ค.) แนะนำ ซื้อ โดยมีแนวรับ 8.80 บาทแนวต้าน 9.15 บาท

STEC ราคาเปิด 4.94 บาท ราคาปิด 5.05 บาท มูลค่าการซื้อขาย 51.93 ล้านบาท STEC ปรับกลยุทธ์รับงานเอกชนและต่างประเทศเพิ่ม เนื่องจากมีอัตรากำไรที่ดีกว่าและช่วยหนุนให้ผลการดำเนินงานกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้งซึ่งได้ประเมินผลการดำเนินงานปี 2550 จะมีกำไรสุทธิเท่ากับ191 ล้านบาท จากผลขาดทุนที่ 1,778 ล้านบาทในปี 2549 เนื่องจากการเริ่มประมูลงานจากภาคเอกชนและในต่างประเทศที่มีอัตรากำไรสูงมากขึ้น
STEC มี Backlog ณ สิ้นปี 2549 เท่ากับ 25,000 ล้านบาทและอยู่ระหว่างการเซ็นสัญญาอีก 4,000 ล้านบาท นอกจากนี้

การรับรู้งานใหม่ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง จากโรงไฟฟ้าและโรงปิโตรเคมีมูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท K.KRAZIP
เห็นว่าการลงทุนในหุ้น STEC มีความเสี่ยงต่ำและอาจคาดหวังผลตอบแทนได้สูงเนื่องจากว่า STEC มีการขยายตัวของงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าและโรงงานปิโตรเคมีในปี 2550-2552 ซึ่งช่วยเพิ่ม GPM ซึ่งจะส่งผลบวกต่อกำไรสุทธิให้มีการเติบโตที่ดี ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ ซื้อลงทุน แนวรับ 4.94 บาท แนวต้าน 5.20 บาท
TKS ราคาเปิด 3.62 บาท ราคาปิด 3.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 25.05 ล้านบาท TKSและบริษัทย่อย เปิดเผยผลประกอบการปี2549มีกำไรสุทธิ 100.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2548 ที่มีกำไรสุทธิ 71.56 ล้านบาท
เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่มาจากธุรกิจค้าส่งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 และมาจากธุรกิจสิ่งพิมพ์มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เป็นการเพิ่มขึ้นในสินค้าที่ TKSมีกำไรดี จึงทำกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จากร้อยละ
7.5 ในปี 2549 เทียบปี 2548 ร้อยละ 6.7 บวกกับสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ลดลงด้วย

และอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากการดำเนินงานสำหรับปี 2549 ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท XDวันที่ 2 เมษายน 2550 กำหนดจ่ายวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 และขณะนี้ TKS กำลังดำเนินการนำบริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด
เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในปีนี้ ซึ่งมั่นใจว่าจะส่งผลให้รายได้

กำไรเติบโตได้อย่างชัดเจนในปี 2551 หลังรับรู้รายได้พิเศษจากส่วนต่างราคาหุ้นของซินเน็คที่จะเพิ่มขึ้นหลังการขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก ดังนั้น K.KRAZIP แนะนำ ซื้อเก็งกำไร แนวรับ 3.44 บาท แนวต้าน 3.74
บาท
K.KRAZIP 21/02/2550

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com