เวียดนามกำลังคิดการใหญ่ หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจในปี 2549 นักลงทุนแทบจะไม่หยุดพักที่จะเข้าไปทำเงินในตลาดเกิดใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะน่าตื่นเต้นที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง

ตั้งแต่ไฮฟองยันฮานอยซึ่งอยู่ทางตอนเหนือ จนถึง โฮจิมินห์ ซิตี้ ในภาคใต้ รัฐบาลและนักลงทุนต่างชาติมีแผนการอันทะเยอทะยานที่จะช่วยพัฒนาสาธารณูปโภคที่ยังล้าหลังและบริการทางการเงินที่เพิ่งตั้งไข่ของเวียดนาม

รัฐบาลคอมมิวนิสต์และตลาดยินดีต้อนรับเงินใหม่ แต่มีความกังวลเช่นกันว่า การลงทุนโดยตรงที่เข้าไปอย่างรวดเร็วได้สร้างความร้อนแรงเกินไปให้กับตลาดหุ้นที่ยังไม่สุกงอมเต็มที่และอาจนำไปสู่การออกมาตรการควบคุมเงินทุนได้

รัฐบาลกำลังพิจารณาทางเลือกหลายๆทางแต่สิ่งสุดท้ายที่ต้องการเห็นคือการยับยั้งการลงทุน อิล ฮวง ลี ผู้แทนของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)ในฮานอยกล่าว ตลาดยังคงเล็กและพวกเขาไม่ต้องการให้ตลาดเต็มไปด้วยนักลงทุนระยะสั้น

ศูนย์การซื้อขายหลักทรัพย์โฮจิมินห์ ซิตี้ ซึ่งมีอายุเพียง 6ปีครึ่ง ได้ดีดตัวขึ้น 144%ในปี 2549 และดีดตัวขึ้น 43% ในปีนี้ ส่วนหนึ่งเพราะว่ากองทุนต่างชาติตามล่ากำไรในเศรษฐกิจซึ่งกำลังโตในอัตรามากกว่า 8% ดัชนีวีเอ็นมีบริษัทจดทะเบียน 107 บริษัทมีมูลค่าตลาดทั้งหมด 15,600 ล้านดอลลาร์

การลงทุนที่เข้ามาอย่างพุ่งพรวดได้ทำให้เกิดการคาดการณ์กันว่า ทางการเวียดนามอาจจะประกาศมาตรการควบคุมเงินที่ไหลเข้ามาสู่เศรษฐกิจ โดยอาจจะเกิดขึ้นในช่วงหลังวันหยุดตรุษจีน

เงินที่ไหลเข้าอย่างแข็งแกร่งอาจทำให้เกิดเงินเฟ้อและสร้างแรงกดดันให้สุกลเงินในประเทศแข็งขึ้นได้ แต่ตัวแทนของบริษัทที่สนับสนุนการลงทุนของต่างชาติมองว่าไม่น่าจะมีมาตรการควบคุมใดๆที่น่าตื่นเต้น
อย่างไรก็ตาม ก็มีคนสงสัยว่ารัฐบาลฮานอยจะก้อปปี้ประเทศไทยซึ่งรัฐบาลได้ประกาศลงโทษในเดือนธันวาคมต่อนักลงทุนต่างชาติที่ถอนสินทรัพย์ภายใน 1 ปี และประสบการณ์ของไทยทำให้ตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลง 15%ในวันเดียว

นักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนต่างชาติล้วนแต่ให้เหตุผลในการเข้าไปทำธุรกิจในเวียดนามว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจโตอย่างรวดเร็ว เวียดนามมีประชากรถึง 84 ล้านคนโดยครึ่งหนึ่งยังมีอายุต่ำกว่า 35 ปี อีกทั้งค่าแรงต่ำ และการเมืองมีเสถียรภาพ

เสน่ห์ดังกล่าวของเวียดนามไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป โดยเฉพาะนับตั้งแต่รัฐบาลฮานอยลงนามในข้อตกลงการค้าใหม่กับอดีตศัตรูตัวฉกาจอย่างสหรัฐ และได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก(ดับเบิลยูทีโอ)และเป็นเจ้าภาพการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก(เอเปก)เมื่อปีที่แล้ว

รัฐบาลเวียดนามเปิดเผยว่า มีการให้คำมั่นที่จะลงทุนโดยตรงของต่างชาติสูงสุดเป็นประวัติการณ์มากว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2549 แต่แนวโน้มโดยรวมในการจัดสรรเงินเข้าไปจริงๆได้ลดลง

การลงทุนโดยตรงของต่างชาติในปี 2547มีมูลค่า 1,600 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มเป็น2,020 ล้านดอลลาร์ในปี 2548

แต่ธุรกิจต่างๆกล่าวว่ามีความเสี่ยงมากในเศรษฐกิจที่ยังคงมีรายได้ต่อหัวต่อปีแค่ 720ดอลลาร์สหรัฐ ระบบการเงินขาดความโปร่งใส และกฏหมายมีความคลุมเครือต่อคนนอกหลายๆคน

นิโคลัส กรีนฟีลด์ ผู้อำนวยการสำนักงานหอการค้ายุโรปในฮานอย กล่าวว่า ยังไม่เห็นความสำเร็จในตัวของมันเอง แต่เป็นก้าวแรกที่จะนำเวียดนามให้ขึ้นมาเป็นเสือเอเชียอย่างแท้จริง
มีการเปรียบเทียบเวียดนามกับจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่ปกครองด้วยพรรคเดียวซึ่งมีการเปิดตลาดและมีการพัฒนาในขั้นต้นและยังคงทำการแปรรูปบริษัทของรัฐ

การเข้าเป็นสมาชิกดับเบิลยูทีโอกำลังเร่งให้เวียดนามปฏิรูปเศรษฐกิจ ปฏิรูปธรรมาภิบาล และปฏิรูปด้านการบริหาร ฮารูฮิโกะ คูโรดะ ประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย(เอดีบี) กล่าวในระหว่างเยือนเวียดนามในเดือนนี้

เมื่อมองจากประสบการณ์ของจีนหลังจากที่เข้าดับเบิลยูทีโอ มีการขยายตัวและมีความก้าวหน้าจริงๆ
ฟิลิป มาร์เต็นส์ นักลงทุนชาวเบลเยี่ยมจากบริษัท อินเตอร์เนชันแนล พอร์ตเอ็นจิเนียริง แอนด์ เมเนจเมนต์ มีแผนการทำท่าเรือน้ำลึกเพื่อเน้นการค้ากับจีน

คุณต้องคิดการใหญ่และก้าวไกล และหากคุณไม่ทำ ก็จะล้าหลัง มาร์เต็นพูดไว้เมื่อเร็วๆนี้เมื่อเขตอุตสาหกรรม ดินห์ วู เพนินซูล่า ประกาศแผนการพัฒนาระยะ 16 ปี

(เรียบเรียงจากรอยเตอร์)

.00020

......เห็นเครื่องบินเรยค่ะ

ไปกันหมดแระค่ะทั้ง จีน สิงคโปร์ มาเลย์เซีย เวียตนาม หรือ อินเดีย

ไม่ต้องไปพูดถึงแล้วค่ะ

อย่างเราต้องไปเปรียบมวย กะ เขมร ลาว พม่า น่าจะเหมาะสมหน่อย

.000004 .000004 .000004