May 19, 2024   11:17:29 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > รวมบทวิเคราะห์
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 12/02/2007 @ 08:52:34
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

วิเคราะห์สัปดาห์ไซด์เวย์ : ความมั่นใจเพิ่มขึ้น

แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่ทยอยเข้ามาเก็บหุ้นบลูชิพตลอดทั้งสัปดาห์ คือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ดัชนีวิ่งทะลุแนวต้าน 680 จุดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จนดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 700 จุดในเร็วๆ นี้

สาเหตุที่ทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงท้ายสัปดาห์ ล้วนสืบเนื่องมาจากนักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น จึงหวนกลับเข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มบลูชิพอย่างคึกคักในช่วงท้ายสัปดาห์

ประกอบกับได้รับแรงสนับสนุนจากผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ และนักวิเคราะห์สำนักต่างๆ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีราคาหุ้นถูกที่สุดในภูมิภาคนี้ นักลงทุนจึงกล้าเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น

รวมทั้งการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นต่างประเทศก็มีส่วนผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย ซึ่งเห็นได้จากยอดซื้อสะสมของนักลงทุนกลุ่มดังกล่าวนับตั้งแต่ต้นปีปาเข้าไปเกือบ 2 หมื่นล้านบาท

ส่วนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กก็มีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาอย่างหนาแน่นเหมือนเช่นสัปดาห์ก่อนๆ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า เป็นกลุ่มหุ้นที่มีความเสี่ยงในการลงทุนน้อยสุดเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มบลูชิพ แถมยังสร้างผลตอบแทนได้เป็นจำนวนมากเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ

ภาพรวมของตลาดหุ้นตลอดทั้งสัปดาห์ถึงเป็นลักษณะ side way up โดยมีหุ้นกลุ่มบลูชิพอย่าง แบงก์ พลังงาน ปิโตรเคมี และอสังหาริมทรัพย์ ยังเป็นแกนหลักในการผลักดันให้ดัชนีเดินหน้าขึ้นไปสร้างแนวรับใหม่ที่สูงขึ้นกว่าเดิม
สัปดาห์นี้ดัชนีมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 700-710 จุด และมีแนวรับสำคัญที่ 680-670 จุด

.00020

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 12/02/2007 @ 08:53:55 : re: รวมบทวิเคราะห์
ตลาดหุ้นเอเชียซบเซา @ นักลงทุนเตรียมหยุดตรุษจีน

ฮ่องกง ความเห็นของประธานธนาคารกลางสหรัฐในสัปดาห์นี้จะเป็นตัวกำหนดโทนตลาดหุ้นในเอเชียซึ่งพึ่งพาการส่งออก ในขณะเดียวกันการซื้อขายน่าจะซบเซาเพราะเหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ก็จะหยุดตรุษจีนกันแล้ว

เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ มีกำหนดแถลงนโยบายเงินในรอบครึ่งปี ต่อกรรมาธิการธนาคารของวุฒิสภา และกรรมาธิการบริการการเงินของสภาผู้แทนราษฎร์ ในวันพุธและวันพฤหัสบดี ซึ่งความเห็นใดๆอาจจะมีผลต่อตลาดหุ้นเอเชีย เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ของเอเชีย

นอกจากนี้ เนื่องจากเทศกาลตรุษจีนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ และตลาดหุ้นในเอเชียส่วนใหญ่จะปิดทำการในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ คาดว่าในสัปดาห์นี้การซื้อขายจะไม่คึกคักมาก

ตลาดญี่ปุ่น นักลงทุนน่าจะหันเหความสนใจไปยังตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ในช่วงปลายสัปดาห์หลังจากที่ได้รับรู้ผลการประชุมจี7และการแถลงรายได้เริ่มหมดลง นักวิเคราะห์กล่าวว่า จีดีพีไม่น่าจะแข็งแกร่งเพียงพอที่จะสร้างความมั่นใจให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งน่าจะเป็นข่าวดีสำหรับหุ้นและอาจทำให้ดัชนีนิเกอิพุ่งสูงสุดในรอบหลายปีในสัปดาห์นี้

ตลาดเกาหลี คาดว่าหุ้นจะเคลื่อนไหวในช่วง 1,400-1,435 จุด โดยมีปัจจัยเพียงไม่กี่อย่างที่มีอิทธิพลต่อตลาดหลังจากที่ฤดูแถลงผลประกอบการกำลังจะหมดไป และดูเหมือนว่าแรงซื้อของต่างชาติที่ช่วยหนุนตลาดกำลังจะลดลง นักวิเคราะห์กล่าวว่า ดัชนีคอสปิของเกาหลีใต้ปรับตัวลงเล็กน้อยในปีนี้และเนื่องจากยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจเกาหลีใต้และกำไรบริษัท จึงอาจทำให้หุ้นหยุดชะงักได้ แต่เนื่องจากไม่มีปัจจัยสำคัญภายในประเทศ นักลงทุนอาจจะหันไปพิจารณาปัจจัยจากภายนอกประเทศแทน
ตลาดฮ่องกง ผู้จับตาตลาดฮ่องกง คาดการณ์ว่าการซื้อขายจะซบเซาและเงียบเหงาก่อนหยุดตรุษจีน แม้ว่าตลาดจะพยายามทำนิวไฮแต่ก็คงทำได้ลำบากเพราะปริมาณการซื้อขายไม่มาก และคาดว่าสภาพคล่องอาจจะออกจากฮ่องกงไปแล้ว

ตลาดออสเตรเลีย น่าจะมีการซื้อขายอย่างระมัดระวังเนื่องจากจะมีผลประกอบการออกมาเป็นจำนวนมาก นักลงทุนมีโอกาสที่จะพิจารณาว่า การดีดตัวของหุ้นออสเตรเลียเมื่อเร็วๆนี้ได้หนุนตลาดให้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้หรือไม่

ชาน โอลิเวอร์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนของบริษัทเอเอ็มพี แคปิตอลอินเวสเตอร์ กล่าวว่า มีความเสี่ยงมากขึ้นที่ตลาดออสเตรเลียจะปรับฐานในระยะใกล้นี้แต่ตลาดหุ้นออสเตรเลียจะดีดตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้าเพราะมีการประเมินมูลค่าอย่างมีเหตุผล เงินสดจากทั่วโลกเป็นจำนวนมากกำลังมองหาที่ลงทุนและการเติบโตของกำไรแข็งแกร่ง

ธนาคารกลางออสเตรเลียก็จะแถลงนโยบายเงินรายไตรมาสในวันจันทร์ และจะมีการแถลงรายได้จากบริษัทใหญ่ๆ หลายราย เช่น คอมมอนเวลธ์ แบงก์ คอมพิวเตอร์แชร์ และเทลสตรา

ตลาดไต้หวัน น่าจะต้องกระเสือกกระสนเมื่อนักลงทุนถอยออกจากตลาดและเริ่มเข้าสู่ฤดูชะลอการผลิตของบริษัทเทคโนโลยี นอกจากนี้ตลาดหุ้นไต้หวันจะรอดูการตัดสินใจของอัยการว่าจะดำเนินคดีต่อ หม่า หยิง-จู หัวหน้าพรรคก็กมินตั๋งฐานนำเงินทุนของรัฐบาลมาใช้โดยไม่ถูกต้องหรือไม่

นักวิเคราะห์กล่าวว่า การดำเนินคดีต่อหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านไต้หวันจะทำลายความหวังที่ไต้หวันและจีนจะมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากพรรคก๊กมินตั๋งมีนโยบายที่ค่อนข้างเอนเอียงไปทางปักกิ่ง หากหัวหน้าพรรคถูกดำเนินคดีอาจไม่ได้ลงสมัครชิงประธานาธิบดีในปีหน้าได้

นักวิเคราะห์บางคนไม่ปฏิเสธว่าดัชนีไทเอ็กซ์อาจจะร่วงลงไปถึง 7,650 จุด หากอัยการตัดสินใจดำเนินคดีต่อหม่า โดยเมื่อวันศุกร์ดัชนีปิดตลาดที่ประมาณ 7,859 จุด

ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักลงทุนในสิงคโปรจะระมัดระวังในสัปดาห์นี้เนื่องจากจะมีการแถลงผลประกอบการและมีการแถลงงบประมาณในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ก่อนหยุดตรุษจีน

อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยอาจจะยังคงได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนต่อไปเนื่องจากมีการประเมินว่าหุ้นมีราคาถูกและมีแนวโน้มที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก

ตลาดเอเชียใต้ คาดว่าหุ้นอินเดียจะซบเซา นักลงทุนจะพักเหนื่อยและมีความระมัดระวังหลังจากที่ตลาดพุ่งเกือบ 4% ในเดือนนี้จนทำสถิติใหม่ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์กล่าวว่า ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจอันแข็งแกร่งซึ่งทำให้กองทุนต่างชาติไหลเข้ามาจะกระตุ้นความรู้สึกของนักลงทุนได้



.00020


[/color:d63cf5ffb5">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#2 วันที่: 12/02/2007 @ 08:55:39 : re: รวมบทวิเคราะห์
ขาใหญ่กลับมาลุยหุ้น ฝรั่งขนเงินหนีบอนด์

- ชิงเก็บบิ๊กแคปราคาถูก หุ้นน้ำมันติดเครื่องดันทะลุ 700
ต่างชาติโยกเงินจากบอนด์ไหลซื้อหุ้น ชี้เป็นช่องเดียวที่ไม่กระทบสำรอง 30%เซียนหุ้นเชื่อฝรั่งยังไม่ขาย ดูจากหุ้นใหญ่ขยับไม่มากได้กำไรแถมปันผล ด้านขาใหญ่เริ่มกลับมาเสียบเชื่อฝรั่งใกล้ลดแรงซื้อ แจงเหตุไม่ทะลุ 700 เพราะกองทุนใจไม่กล้าพอ ชิงขายก่อน ตลาดหุ้นขอเวลาสั่งสมพลังก่อนดีดแรง อาทิตย์นี้ลุ้นกลุ่มพลังงาน ได้ราคาน้ำมันหนุนดันทะลุ 700 จุด เปิดโผ 10 หุ้นเด่นกำไรโตสูงสุด และปันผลเยี่ยม

-ดัชนีทะลุ700จุด
มาตรการสำรอง 30% ของแบงก์ชาติกำลังท้าพิสูจน์กับตลาดหุ้นไทยว่า สร้างผลดีให้มากกว่าผลเสีย เพราะตลาดหุ้นเป็นประตูเดียวที่ต่างชาติไหลเงินมาลงทุนได้ โดยไม่ต้องถูกสำรอง 30% ฝรั่งจึงขายบอนด์แล้วโยกเงินมาซื้อหุ้น ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 7 มกราคมซึ่งเป็นวันแรกที่ต่างชาติซื้อมาตลอดจนถึงวันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ รวมซื้อสุทธิกว่า 27,948ล้านบาท ถ้าเทียบกับที่ขายออกไปช่วงมาตรการ 19 ธันวาฯรวมทั้งระเบิด 9 จุดในกทม.พบว่า แรงซื้อยังน้อยกว่าที่ขายออกไปแล้วกว่า 30,000 ล้านบาท

นอกจากประเด็นดังกล่าวแล้ว อีกเหตุผลคือ จังหวะนี้เป็นนาทีทองที่จะซื้อหุ้นไทย โดยเฉพาะตัวพื้นฐานดี ราคาตกลงมาก ถ้าซื้อช่วงนี้จึงได้กำไรจากราคาหุ้นและยังมีเงินปันผล ฝรั่งจึงเข้ามาซื้อหุ้นใหญ่ พื้นฐานดีตลอดช่วงเดือนกว่าผ่านมา

ดังนั้นสัปดาห์นี้ ข่าวหุ้นธุรกิจได้สอบถามไปยังบรรดานักลงทุนใหญ่หลายรายได้รับคำตอบในทิศทางเดียวกันว่า ต่างชาติยังซื้อสุทธิต่อเนื่อง และยังไม่ขายทิ้งตัวแปรสำคัญคือ ถ้าราคาน้ำมันขยับสูงขึ้น ฝรั่งก็จะเข้ามาไล่หุ้นพลังงานต่ออีก และหุ้นกลุ่มนี้จะเป็นตัวหลักที่ทำให้ดัชนีทะลุ 700 จุด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีมาร์เก็ตแคปสูง

นักลงทุนใหญ่รายคนจึงเริ่มกลับมาเข้าตลาดหุ้นแล้ว จากที่รามือไปชั่วคราวเพราะกลัวตกขบวน ถ้าดัชนีทะลุ 700 จุดได้ก็มีโอกาสไปต่อ และขาใหญ่เชื่อว่าจังหวะนี้สมควรเข้ามาเสียบแทนฝรั่ง ที่จะลดแรงซื้อลงแต่ยังไม่ขายทิ้ง

สาเหตุที่ดัชนีไม่ทะลุ 700 จุดเพราะกองทุนชิงตัดหน้าขายก่อนที่หุ้นจะไปไกล ตั้งแต่ต้นปีกองทุนขายสุทธิ 2,093.46 ล้านบาท-ขาใหญ่เริ่มลุย

นายวิชัย วชิรพงษ์ นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า การกลับมาของต่างชาติรอบนี้เชื่อว่าคงเน้นลงทุนยาว สังเกตุจากหุ้นที่เข้ามาเก็บส่วนใหญ่เน้นหุ้นปันผลดีเป็นหลัก อาทิ ปตท.ที่คาดว่างวดครึ่งปีหลังจะจ่ายอีกไม่ต่ำ 5-6 บาท และกลุ่มแบงก์ที่จ่ายปันผลแทบทุกแห่ง โดยเฉพาะแบงก์ขนาดใหญ่อย่าง BBL SCB และ KBANK จะเห็นว่ามีแรงซื้อเข้ามาอย่างคึกคัก

ช่วงนี้ใกล้ถึงเทศกาลปันผล และหุ้นปัจจัยดีหลายตัวที่ลงมาถูกมาก และมีโอกาสปันผลสูงจึงได้รับความนิยมเป็นพิเศษ จึงเชื่อว่ารอบนี้ต่างชาติคงถือจนกว่าบริษัทจะประกาศตัวเลขที่ชัดเจนออกมา ซึ่งในส่วนของรายใหญ่กลัวตกขบวนเช่นกัน เพราะมองว่าหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว จึงได้เริ่มเข้าไปเก็บไว้บ้าง แต่ยังไม่เต็มที่มาก รอจังหวะอาจมีการขายทำกำไรของบางกลุ่มออกมาก่อน จึงเข้ารับใหม่ซึ่งถึงตอนนั้นเชื่อว่าหุ้นจะวิ่งได้แรงกว่านี้นายวิชัยกล่าว

ดังนั้นตลาดหุ้นที่ปิดเมื่อวันศุกร์ 695.27 จุด บวก 3.99 จุด จึงเหมือนยืนบนเส้นยาแดง เพราะดัชนี 695 จุดถือเป็นด่านสำคัญถ้าพ้นไปได้ก็ทะลุ 700 แน่- ยูบีเอสออร์เดอร์ล้น

ด้านแหล่งข่าวจากนักลงทุนรายใหญ่กล่าวว่า เชื่อว่าคำสั่งซื้อของนักลงทุนต่างชาติยังมีอยู่ในบริษัทหลักทรัพย์(บล.)ยูบีเอส ค่อนข้างมาก เพราะเม็ดเงินที่ถอนการลงทุนในช่วง 19 ธ.ค.ที่แบงก์ชาติออกมาตรการสำรอง 30% นั้นไม่ได้ไหลออกจากไทย แต่ขึ้นอยู่กับว่าคำสั่งจะให้เก็บหุ้นที่ระดับราคาเท่าใด ซึ่งรอบแรกการไหลเข้ามาลงทุนเน้นที่พลังงาน และแบงก์เป็นหลัก คิวต่อไปน่าจะได้เห็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโครงการเมกะโปรเจ็ก

เมื่อวันพฤหัส(8ก.พ.)มีคำสั่งซื้อของต่างชาติผ่านยูบีเอสกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าอาจเป็นแค่ออเดิร์ฟเท่านั้น เพราะเชื่อว่าต่างชาติยังไม่หยุดซื้อแน่นอน ยังมีเม็ดเงินอีกจำนวนหนึ่งรอซื้อหุ้นได้รับผลดีจากนโนบายกระตั้นการลงทุนภาครัฐไแหล่งข่าว กล่าว

นายพงษ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่าหุ้นยังไปต่อได้แน่นอนจากแรงซื้อของต่างชาติ และกองทุนเป็นหลัก แต่อาจจะลดความร้อนแรง หรือระหว่างทางมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้างแต่เชื่อว่าในที่สุดจะเป็นขาขึ้นแน่นอน-10หุ้นกำไรโตดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการรวบรวมข้อมูลความเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์(Analyst Consensus) จากสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์พบว่า บริษัทที่คาดว่าจะมีกำไรเติบโตสูงสุด 10 อันดับแรก ของปีนี้เทียบกับปี 2549 ประกอบด้วย KTECH ที่คาดมีกำไรปีนี้ 68 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่คาดว่ามีกำไร 36 ล้านบาท(ยังไม่ประกาศผลประกอบการในปี 49) หรือโตขึ้น 88.89% ASCON คาดว่ากำไรปีนี้ 207 ล้านบาทโตขึ้น 51.09% จากปีก่อนที่คาดกำไร 137 ล้านบาท

RICH คาดมีกำไร 193 ล้านบาท โตขึ้น 35.35% จากปีก่อนที่คาดมีกำไรสุทธิ139.50 ล้านบาท L&E ที่คาดกำไร 102.20 ล้านบาท โตขึ้น 38.11% จากปีก่อนที่คาดกำไร 74 ล้านบาท SVOA คาดกำไรปีนี้ 150.21 ล้านบาท โตขึ้น 23.71% จากปีก่อนคาดกำไร 121.42 ล้านบาท SYNTEC คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 229.82 ล้านบาท โตขึ้น 22.90% จากปี 49 ที่คาดว่าจะมีกำไร 187 ล้านบาท TIES คาดกำไร 66.87 ล้านบาทโตขึ้น 20.86% จากปีก่อนคาดกำไร 55.33 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมี EMC คาดกำไรปีนี้ 90 ล้านบาท โตขึ้น 20% จากปีก่อนที่คาดว่าจะมีกำไร 75 ล้านบาท TPIPL คาดกำไรสุทธิปีนี้ 2,267.33 ล้านบาท โตขึ้น 19.86% จากปีก่อนที่มีกำไร 1,894.56 ล้านบาท และ TWZ คาดกำไรในปีนี้ 188.43 ล้านบาท โตขึ้น 17.02% จากปีก่อนที่คาดกำไรสุทธิ 161.02 ล้านบาท-10หุ้นกำไรลด

ส่วนบริษัทที่คาดกำไรสุทธิลดลงมากสุด 10 อันดับแรกของปีนี้เทียบกับในปี 49ประกอบด้วย INET คาดว่าปีนี้ขาดทุน 6.66 ล้านบาท ลดลง 111.65 % จากเดิมที่คาดว่าปี 49 จะมีกำไร 57.19 ล้านบาท(ยังไม่ประกาศผลประกอบการปี 49) รองลงมาเป็น TMB ที่คาดว่าปีนี้กำไร 1,250.42 ล้านบาท ลดลง -76.87 % จากที่คาดว่าปี49 จะมีกำไร 5,406.41 ล้านบาท ตามมาด้วยบล.US ที่คาดว่าปีนี้จะมีกำไร 4ล้านบาท ลดลง -69.23% จากเดิมปีก่อนคาดว่าจะมีกำไร 13 ล้านบาท

ขณะที่ PTL คาดว่าจะมีกำไรปีนี้ 282 ล้านบาทลดลง 57.72% จากปีก่อนที่คาดว่ามีกำไร 667.06 ล้านบาท BLISS คาดมีกำไรปีนี้ 43.65 ล้านบาท ลดลง 55.60%จากปีก่อนคาดมีกำไร 98.31 ล้านบาท CPR คาดมีกำไรปีนี้ 20.90 ล้านบาทลดลง49.76% จากที่คาดว่าปีนี้จะมีกำไร 41.60 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมี BT ที่คาดว่าจะมีกำไรปีนี้ 1,040.28 ล้านบาท ลดลง 23.47%จากที่คาดว่าปีก่อนมีกำไร 1,359.33 ล้านบาท MACO คาดกำไรปีนี้ 76.42 ล้านบาทลดลง 21.80% จากที่คาดว่ามีกำไรในปี49 จำนวน 97.73 ล้านบาท MINOR คาดมีกำไรปีนี้ 357.14 ล้านบาท ลดลง 20.84% จากเดิมที่คาดว่าปี49 จะมีกำไร451.16 ล้านบาท และ TSTH คาดมีกำไรปีนี้ 884.68 ล้านบาทลดลง 19.94% จากที่คาดปีก่อนมีกำไร 1,105 ล้านบาท-10หุ้นปันผลเด่น

ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ยังคาดการณ์บริษัทที่ให้อัตราตอบแทนเงินปันผล(ดิวิเดนท์ยีลด์)สูงสุด 10 อันดับแรกของปีนี้ ซึ่งประกอบด้วย SCBLคาดว่าจะให้ดิวิเดนท์ยีลด์สูงสุดถึง 20%PR124 คาดว่าจะให้ยีลด์ 13.70% MMEให้ยีลด์ 13.36% DRTให้ดิวิเดนท์ยีลด์ 11.09%SPACKให้ยีลด์สูงสุด 11.07%

ด้าน EPCO คาดให้ดิวิเดนท์ยีลด์ 10.71% STPI ให้ยีลด์สูงสุด 10.61% CTW ให้ยีลด์สูงสุด 10.49% SHIN ให้ยีลด์สูงสุด 10.45% และ RICH คาดจะให้ยีลด์ 10.44%


.00020



[/color:e5e659a978">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#3 วันที่: 12/02/2007 @ 08:56:35 : re: รวมบทวิเคราะห์
ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์พุ่งเทียบเยน-ยูโร ขณะนักลงทุนจับตาประชุม G7

ภาวะการซื้อขายที่ตลาดเงินนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (9 ก.พ.) ค่าเงินดอลลาร์ทะยานขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร เงินยน และเงินปอนด์ ขณะที่นักลงทุนจับตาดูผลการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มประเทศ G7

สำนักข่าวซินหัว ไฟแนนซ์รายงานว่า ค่าเงินยูโรร่วงลงแตะระดับ 1.3006 ยูโรต่อดอลลาร์ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.3038 ยูโรต่อดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินปอนด์ดิ่งลงแตะระดับ 1.9503 ปอนด์ต่อดอลลาร์ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.9580 ปอนด์ต่อดอลลาร์ โดยค่าเงินปอนด์ได้รับแรงกดดันจากการที่ธนาคารกลางอังกฤษประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับเดิมที่ 5.25%

หากเมื่อเทียบกับเงินเยน ดอลลาร์ทะยานขึ้นแตะระดับ 121.64 เยนต่อดอลลาร์ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 121.05 เยนต่อดอลลาร์ โดยเงินเยนได้รับผลกระทบจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าที่ประชุม G7 จะไม่หยิบยกประเด็นค่าเงินเยนอ่อนขึ้นมาหารือเป็นวาระหลัก

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ดอลลาร์แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากการที่นายริชาร์ด ฟิสเชอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาดัลลัส กล่าวว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งถ้าพบว่าตัวเลขเงินเฟ้อไม่ได้เคลื่อนไหวอยู่ในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตาม นายฟิสเชอร์กล่าวว่าเขายังรู้สึกพอใจกับทิศทางของตัวเลขเงินเฟ้อในปัจจุบัน

นายเดวิด กิลมอร์ นักวิเคราะห์ด้านอัตราแลกเปลี่ยนจากบริษัทเอ็สเซ็กซ์ กล่าวว่า ตลาดแทบจะไม่มีปฏิกริยาต่อการแสดงความคิดเห็นของนายฟิสเชอร์ เนื่องจากนักลงทุนเริ่มซึมซับกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเอาไว้แล้ว ดังนั้น นักลงทุนจึงมองว่าสิ่งที่นายฟิสเชอร์พูดจึงไม่ต่างจากแถลงการณ์ของเฟดในช่วงที่ผ่านมา

ในการประชุมเฟดครั้งหลังสุดเมื่อปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา เฟดได้ตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับเดิมที่ 5.25% ซึ่งเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ย 5 ครั้งติดต่อกัน โดยเฟดได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันข้างหน้าถ้าพบว่าตัวเลขเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่คุกคามต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ


.00020
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#4 วันที่: 12/02/2007 @ 08:57:26 : re: รวมบทวิเคราะห์
ภาวะตลาดทองคำ NYMEX: ราคาทองพุ่งปิดที่ 672.30$ หลังราคาน้ำมันทะยาน

ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (9 ก.พ.) จากแรงซื้อของกลุ่มกองทุน หลังจากที่ราคาน้ำมันปิดทะยานขึ้นเกือบแตะระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล

สำนักข่าวซินหัว ไฟแนนซ์รายงานว่า สัญญาทองคำในตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 672.30 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้น 9.50 ดอลลาร์ ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 13.915 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 14.5 เซนต์

ส่วนสัญญาพลาตินั่มส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,201.80 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 3.50 ดอลลาร์ และสัญญา พัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 341.65 ดอลลาร์/ออนซ์ ดีดขึ้น 65 เซนต์

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากการที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดนิวยอร์กพุ่งขึ้น 18 เซนต์ แตะระดับ 59.89 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากทะยานขึ้นแตะระดับ 60.80 ดอลลาร์/บาร์เรลในระหว่างวัน เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นอย่างต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้ความต้องการเชื้อเพลิงฮีทติ้งออยล์เพิ่มขึ้นด้วย

ส่วนอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมาจากรายงานข่าวที่ว่า ไนจีเรียได้ประกาศภาวะสุดวิสัย ด้านการส่งออกน้ำมันดิบบางส่วนในเดือนก.พ.และมี.ค. และข่าวที่ว่าไนจีเรียเริ่มปรับลดปริมาณการส่งออกน้ำมันเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการปรับลดการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปค

ในการประชุมครั้งหลังสุดที่ไนจีเรียเมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา โอเปคได้ตัดสินใจลดการผลิตน้ำมันลงอีก 500,000 บาร์เรลต่อวัน โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.ปีนี้ หลังจากที่โอเปคประกาศลดการผลิตไปแล้ว 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนพ.ย.


.00020 [/color:b152b934d8">
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#5 วันที่: 12/02/2007 @ 09:00:18 : re: รวมบทวิเคราะห์
ทิศทางตลาด

SET50 : สัปดาห์ก่อนปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงปลายสัปดาห์ หลังผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 50วันขึ้นมาได้ แต่เริ่มมาแผ่วลงเล็กน้อยเมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นทดสอบเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันซึ่งโดยปกติแล้วการปรับตัวขึ้นมาทดสอบในครั้งแรก ๆ โอกาสที่จะผ่านขึ้นไปนั้นจะมีน้อยมากประกอบกับเมื่อพิจารณาในกราฟรายสัปดาห์จะพบว่ามีเส้นค่าเฉลี่ย 25 และ 75 สัปดาห์ขวางอยู่ด้านบน เพราะฉะนั้นสัปดาห์นี้จะมีแนวต้านอยู่แถว ๆ 489- 497 จุด ซึ่งเป็นระดับที่น่าขายทำกำไรเล่นรอบสั้น ๆ ก่อน อ่อนตัวกลับลงมาแถว ๆ 475-470 จุดในระหว่างสัปดาห์ยังเล่น trading ต่อไปได้

S50H07 : ยังคงมี basis ติดลบอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีจะปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงก็ตาม สะท้อนให้เห็นว่ายังมีความไม่เชื่อมั่นว่าดัชนีจะปรับตัวขึ้นจริง ส่งผลให้ในปัจจุบัน basis ยังมีค่าติดลบประมาณ 4-5 จุด ประกอบกับในปัจจุบันยังไม่ผ่านจุดสูงเดิมแถว ๆ 485 จุดขึ้นไปได้ แม้ว่าแท่งเทียนจะปรับตัวออกไปนอกกรอบ Bollingerbands top ก็ตาม ดังนั้นในระยะสั้นจะมีความเสี่ยงที่จะอ่อนตัวกลับเข้าหา bandsอีกครั้ง ดังนั้นถ้าในช่วงต้นสัปดาห์ไม่ผ่านแนวต้านแถว ๆ 485-489 จุด น่า short เพื่อหวังผลอ่อนตัวกลับลงมาที่แนวรับแถว ๆ 475-474 จุดในช่วงกลางสัปดาห์ ไม่ต่ำกว่านี้ ยังlong ได้


.00020
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#6 วันที่: 12/02/2007 @ 09:03:57 : re: รวมบทวิเคราะห์
คาดดัชนีหุ้นทะลุ700จุด เชื่อต่างชาติซื้อต่อเนื่อง

ฟันธงแนวโน้มตลาดหุ้นยังขาขึ้น เชื่อต่างชาติซื้อต่อเนื่องตลอดกลางเดือนก.พ. เนื่องจากคลายกังวลกับมาตรการกันสำรอง 30% และดอกเบี้ยเป็นขาลง ระยะสั้นลุ้นทะลุแนวต้าน 700 จุด ประเมินดัชนีหุ้นปีนี้ได้เห็น 800 จุด

นายอภิศักดิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้น (12ก.พ.) คาดว่า ดัชนียังคงมีการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จากเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จากปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันดิบโลกที่คาดว่าจะยังมีการปรับขึ้น จะส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานตัวใหญ่ ทั้งนี้ในส่วนของต่างชาติ คาดว่าจะยังคงซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากตลาดหุ้นบ้านเรามีราคาถูก รวมทั้งเรื่องมาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีความชัดเจนขึ้น และดอกเบี้ยเป็นขา ลงทำให้นักลงทุนคลายความกังวล จึงเข้ามาซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะมีการเข้าซื้อไปถึงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ระยะสั้นดัชนีมีโอกาสทะลุ 700 จุด
ทั้งนี้มองแนวรับอยู่ที่ 692 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 705 จุด แนะกลยุทธ์ให้ซื้อหุ้นตัวใหญ่ อาทิ กลุ่ม แบงก์ กลุ่มพลังงาน เป็นต้น

แนวโน้มดัชนีหุ้นยังปรับตัวขึ้น
นางสาวปวีณา เดชอิทธิกุล รองผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ บีที จำกัด ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้น (12 ก.พ.) คาดว่า ดัชนีน่าจะมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่มีปัจจัยลบที่สร้างความกังวล อาทิ ปัญหาการเมืองที่นักลงทุนได้ทราบกันหมดแล้ว รวมทั้งในช่วงนี้ปัจจัยที่ส่งผลบวกมีค่อนข้างมาก

มองว่า นักลงทุนต่างชาติจะยังคงมีการซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากราคาหุ้นที่ถูก และมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ดี ทั้งนี้ให้แนวรับที่ 690 ? 685 จุด และแนวต้าน 698 ? 700 จุด

มองดัชนัหุ้นกลางปีถึง 750จุด
นายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คาดว่า ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นแตะระดับ 750 จุดในช่วงกลางปี และเพิ่มเป็น 800 จุดในช่วงปลายปีนี้ได้ หลังมองว่ายังมีเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาอยู่ เนื่องจากมุมมองของต่างชาติ

ทั้งนี้เห็นว่า ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยบวกมากกว่าปัจจัยลบ เช่น นโยบายการลงทุนของภาครัฐมีความชัดเจน และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้ลดลง พี/อีก็อยู่ในระดับ 8 เท่า ต่ำกว่าประเทศอื่น นอกจากนี้การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ได้ผ่อนคลายมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 ของเงินทุนไหลเข้า ก็ถือเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยผลักดันการขยับขึ้นของดัชนีหุ้นไทยด้วย.




.00020
 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#7 วันที่: 12/02/2007 @ 10:46:40 : re: รวมบทวิเคราะห์
โบรกเตือนต่างชาติทำกำไรข้ามตลาด

บล.ซีมิโก้มองการไล่ราคาดัชนีจากตลาดใหญ่ให้ทำกำไรข้ามตลาดนั้น สามารถทำได้จากตลาดอนุพันธ์บ้านเราที่มีขนาดเล็ก และนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้กำหนดทิศทางของตลาด นอกจากนี้บรรดาเหล่านักเก็งกำไรยังมารวมกันในตลาดกว่า 90% ในขณะที่นักลงทุนสถาบันมีเพียง 10%

นายภาคภูมิ ภาคย์วิศาล ผู้อำนวยการ ส่วนพัฒนาธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การทำดัชนี SET50 ให้ปรับตัวสูงขึ้น เพื่อไล่ราคาดัชนีเท่ากับที่เปิดสถานะไว้ในตลาดฟิวเจอร์สนั้นสามารถทำได้ โดยการไปเปิดสถานะ ?Long? ไว้ในตลาดฟิวเจอร์ส แล้วเข้าไปซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งมีน้ำหนักใน SET50 มากที่สุด เมื่อซื้อหุ้นกลุ่มนี้แล้ว ราคาของ SET50 ก็จะปรับตัวสูงขึ้น แล้วจึงเข้าไปปิดสถานะที่เปิดไว้ในตลาดฟิวเจอร์ส

ปัญหานี้เป็นปัญหาที่นักลงทุนต่างชาติสามารถทำได้ ซึ่งจะสังเกตได้จากการดันตลาดหุ้นในปัจจุบัน เมื่อไหร่ที่นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อสุทธิหุ้นจะขึ้น แต่เมื่อไหร่ที่นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิตลาดหุ้นจะตก ดังนั้นการทำราคาในตลาดฟิวเจอร์สจึงไม่น่าจะทำได้ยากมากนัก

อย่างไรก็ตามตลาดฟิวเจอร์สมีขนาดเล็กกว่าตลาดหุ้น ถ้ามีการไล่ซื้อหุ้นพลังงานตัวใหญ่สัก 2-3 ตัวในตลาดใหญ่ ราคาก็จะปรับตัวขึ้นได้แล้ว ซึ่งตลาดฟิวเจอร์สมีขนาดเล็ก ดังนั้นนักลงทุนจึงสามารถทำกำไรข้ามตลาด(arbitrage) ได้ แต่จะใช้เงินจำนวนมากและสามารถทำได้ยากพอสมควร เนื่องจากสถาบันหรือต่างชาติจะส่งคำสั่งซื้อขายได้โดยตรงทำได้ช้า
ตลาดฟิวเจอร์สส่งผลดีกับทุกฝ่าย

อย่างไรก็ดีการมีตลาดฟิวเจอร์สเกิดขึ้นมานั้น ยังถือว่าเป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายไม่ใช่กับนักลงทุนต่างชาติเพียงกลุ่มเดียว โดยนักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าไปเล่นได้ในช่วงหุ้นตก ก่อนหน้านี้มีแต่นักลงทุนต่างชาติเท่านั้นที่จะเปิด ?Short? ได้ทั้งขาขึ้นและขาลง จากการยืมหุ้นมาเพื่อขายออกก่อน ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยไม่สามารถทำได้ ดังนั้นการมีตลาดฟิวเจอร์สทำให้นักลงทุนสามารถใช้ตลาด ?Short? ช่วงหุ้นตกได้

ทั้งนี้ตลาดฟิวเจอร์สถือเป็นอีกโอกาสที่มาทำให้การซื้อขายมีความสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งตลาดบ้านเราอยู่ในภาวะ Sideway มาเป็นระยะเวลา 3 ปีแล้ว ที่มีอัตราหุ้นขึ้นและลงในระดับเท่ากัน เมื่อมีตลาดอนุพันธ์เข้ามานักลงทุนเริ่มมีความสนใจ บางคนเมื่อเข้ามาเล่นในตลาดอนุพันธ์แล้วเล่นหุ้นน้อยลงก็มี หรือบางคนเลิกเล่นหุ้นก็มี เนื่องจากตลาดนี้เล่นได้ง่ายกว่า และไม่ต้องไปนั่งดูงบการเงินแต่ละบริษัท อาศัยการดูภาพรวมของตลาดเท่านั้น

สำหรับประเด็นที่ว่านักลงทุนต่างชาติมีความรู้ในตลาดอนุพันธ์มากกว่านักลงทุนในประเทศไทยนั้น ต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีประสบการณ์น้อยกว่า การหาความรู้ทุกคนสามารถหาได้เท่ากัน แต่ประสบการณ์ของแต่ละคนมีความต่างกัน ซึ่งตลาดอนุพันธ์ในต่างประเทศนักลงทุนต่างชาติผ่านมาก่อน แต่อย่างไรก็ดีไม่ควรนำเอาตลาดมาปิดกั้นตัวเอง หากใครสามารถเข้ามาเรียนรู้ก่อนก็จะได้รับผลดี

อนุพันธ์รวมนักเก็งกำไรกว่า 90%
นายภาคภูมิ กล่าวต่อว่า สำหรับพฤติกรรมของผู้ลงทุนที่เข้ามาซื้อขายกันในตลาดอนุพันธ์มีจำนวน 90% ที่ใช้เก็งกำไรเล่นระยะสั้น โดยคนส่วนใหญ่ต้องการเข้ามาซื้อๆ ขายๆ เพื่อสร้างผลกำไรในระยะสั้นเท่านั้น ส่วนกลุ่มนักลงทุนสถาบันรายใหญ่มีเพียง 10% ที่ใช้ตลาดฟิวเจอร์สในการป้องกันความเสี่ยงจากพอร์ตลงทุน

สำหรับสัดส่วนผู้ลงทุนที่จะเข้ามาซื้อขายในแต่ละวัน เป็นนักลงทุนรายย่อย 50-60% รองลงมาเป็นนักลงทุนต่างชาติและสถาบัน ซึ่งแต่เดิมกองทุนไม่มีนโยบายที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดอนุพันธ์ แต่ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้สามารถเข้ามาลงทุนในตลาดอนุพันธ์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงได้ ซึ่งยังคงเป็นสัดส่วนที่น้อยอยู่

ทั้งนี้ที่ผ่านมามีปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันที่เข้ามาเทรดบางกองทุน และเป็นการซื้อขายของบริษัท รวมทั้งมาร์เก็ตเมกเกอร์ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 3 ราย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)

สำหรับนักลงทุนต่างชาติยังเข้ามาซื้อขายในตลาด TFEX มีจำนวนน้อยมาก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติรอสภาพคล่องให้มีมากกว่าปัจจุบัน โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในตลาดฟิวเจอร์สในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.2 พันสัญญาต่อวัน และในเดือนมกราคมที่ผ่านมามีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 2 พันสัญญาต่อวัน ซึ่งนักลงทุนต่างชาติหวังให้ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 5 พันถึง 1 หมื่นสัญญาต่อวัน จึงจะเข้ามาซื้อขายในตลาดกันมากขึ้น

ส่วนมาร์เก็ตเมกเกอร์ทำหน้าที่ในการตั้งราคาซื้อราคาขายเท่านั้น ไม่ได้ซื้อขายให้เกิดวอลุ่มมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยการซื้อขายจากนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน ภาวะตลาดทุกวันนี้เหมือนรอให้กองทุนเข้ามาในตลาด

ปัจจุบันนักลงทุนมีหลากหลาย ซึ่งนักลงทุนบ้านเราส่วนใหญ่นิยมเล่นสั้น และนิยมเล่นสัญญาในเดือนที่ใกล้ที่สุด มีมุมมองกับข่าวในระยะใกล้ โดยอายุสัญญาในแต่ละเดือนห่างกันเพียง 3 เดือนเท่านั้น
ออปชันคล้ายซื้อล็อตเตอรี่

ออปชันเป็นตราสารที่มีความซับซ้อนกว่าฟิวเจอร์สมาก ซึ่งในประเทศเกาหลีมีการซื้อขายออปชันมากกว่าตลาดหุ้นประมาณ 60 เท่า เป็นสัญญาที่มีการซื้อขายสูงที่สุดในโลก การซื้อขายออปชันของเกาหลีจะอ้างอิงกับดัชนีในประเทศ ลักษณะเหมือนกับของไทย ซึ่งการซื้อออปชันจะคล้ายกับการซื้อล็อตเตอรี่ ที่นักลงทุนจะเสียแค่ค่าพรีเมียม หากผู้ลงทุนเดาทิศทางถูกก็ได้กำไร แต่ถ้าเดาผิดก็จะเสียเฉพาะส่วนที่เราจ่ายไปเท่านั้น

ทั้งนี้ออปชันจะมีลักษณะเหมือนกับวอแรนท์ที่เป็นสิทธิในการซื้อหรือขาย ดัชนี SET50 ที่ผู้ลงทุนจะใช้สิทธิหรือไม่ใช้สิทธิก็ได้ หากคาดว่าตลาดหุ้นจะขึ้นก็คอลออปชัน(Call Option)คือการใช้สิทธิในการซื้อ แต่ถ้าคาดว่าตลาดหุ้นจะตกก็พุทออปชัน(Put Option ) คือการใช้สิทธิในการขาย

สำหรับกองทุนอิควิตี้ อีทีเอฟ (ETF) ที่จะลงทุน SET50 น่าจะเหมาะกับนักลงทุนทั่วไปที่ต้องการลงทุนในกองทุนรวม เหมือนกับกองทุนที่ซื้อ SET50 โดย ETF เมื่อเข้าไปซื้อขายในตลาดหุ้นจะรู้ราคาเป็น Real Time ราคา ETF จะใกล้เคียงกับกองทุน SET50 นักลงทุนทั่วไปบ้านเรามีความสนใจน้อย ทั้งนี้นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะลงทุนในกองทุนที่มีสภาพคล่องให้และผลตอบแทนมากกว่าตลาด อีกทั้งให้สิทธิทางภาษีเหมือนกับกองทุน RMF และ LTF

ส่วนในมุมมองของโบรกเกอร์มีโอกาสหลายอย่างที่เข้าไปทำกำไรข้ามตลาดได้ แทนที่จะซื้อ SET50 ก็จะหันมาขาย ETF แทน แม้ว่าราคากองทุน ETF จะมีความแตกต่างจากการบริหารสินทรัพย์สุทธิ แต่ก็สามารถทำกำไรข้ามตลาดได้ ทั้งนี้นักลงทุนทั่วไปจะมีมาร์เก็ตเมกเกอร์เข้ามาช่วย โดยข้อดีของ ETF จะเสียค่าธรรมเนียมในการซื้อขายถูกกว่าการเป็นกองทุนรวม


.00020
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com