May 19, 2024   11:29:26 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ฟันธง !!!
 

Toon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 973
วันที่: 09/02/2007 @ 11:42:17
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ฟันธงดัชนีตลาดหุ้นสิ้นปีที่ 729จุด

สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ทำโพลล์สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์สำหรับการลงทุนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - ธันวาคม 2550 โดยนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมฯ เปิดเผยผลสรุปความเห็นของนักวิเคราะห์ล่าสุด เทียบกับผลสำรวจครั้งก่อนเมื่อ 19 ตค. 2549 พบว่าตัวเลขคาดการณ์ทางเศรษฐกิจลดลงตามคาด โดย GDP Growth และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีค่าเฉลี่ยคาดการณ์เติบโตที่ร้อยละ 4.2 และ 2.6 ตามลำดับ กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีผลประกอบการเติบโตสูงที่สุดคือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะยังคงเป็นผู้ซื้อสุทธิต่อเนื่อง โดยผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นสามัญจะสูงกว่าการลงทุนประเภทอื่น นอกจากนี้ นักวิเคราะห์มองว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในวันสิ้นปี 2550 เฉลี่ยอยู่ที่ 729 จุด โดยกลุ่มที่น่าลงทุนได้แก่ ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง และพลังงานตามลำดับ แต่น่าสังเกตว่าพลังงานได้รับความนิยมแนะนำลดลง

สำหรับการสำรวจครั้งแรกของปี 2550 นี้ สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้สอบถามความเห็นของนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นเดือนกุมภาพันธ์ - ธันวาคม 2550 ซึ่งรวมถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ ความเชื่อมั่นในการบริหารงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ผลกระทบต่อดัชนีราคาหุ้นหากการเลือกตั้งล่าช้ากว่าที่คาดไว้ แนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน คาดการณ์ EPS Growth ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ ผลตอบแทนของการลงทุนประเภทต่าง ๆ กลุ่มธุรกิจและหุ้นที่แนะนำให้ลงทุน รวมถึงข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายสำคัญที่ควรดำเนินการ โดยมีสำนักวิจัยจากบริษัทหลักทรัพย์แสดงความเห็นรวม 19 แห่ง

ปัจจัยบวกที่สำคัญต่อการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ? ธันวาคม 2550 อันดับแรกที่นักวิเคราะห์เกือบทั้งหมดหรือร้อยละ 95 เห็นตรงกัน คือ การที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง อันดับที่สอง คือ ราคาน้ำมันที่ลดลง มีผู้ตอบร้อยละ 53 อันดับที่สาม มีผู้ตอบร้อยละ 37 คือ หากมีการเลือกตั้งภายในปี 2550 อันดับที่สี่มีสองประเด็นที่มีผู้ตอบจำนวนเท่ากันที่ร้อยละ 32 คือ อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง และนโยบายภาครัฐในด้านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานรวมทั้งโครงการเมกะโปรเจ็กต์และการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายปีนี้ได้ทันตามกำหนดเวลา

สำหรับปัจจัยลบที่สำคัญ อันดับแรกคือ ประเด็นที่เกี่ยวกับนโยบายบางด้านของรัฐบาลที่ยังไม่ชัดเจน เช่น นโยบายทางการเงิน การแก้ไข พรบ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว กรณีความไม่แน่นอนในการขอเพิกถอน พรฎ.ที่เกี่ยวกับการแปรรูป ปตท. อันอาจมีผลต่อการเพิกถอนการจดทะเบียนในตลาดหุ้นของ ปตท. เป็นต้น มีผู้ตอบร้อยละ 79 อันดับสองมีผู้ตอบร้อยละ 63 คือ สถานการณ์ทางการเมือง อันดับที่สาม คือ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว มีผู้ตอบร้อยละ 37 ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบภาคใต้และการก่อการร้ายต่าง ๆ มีผู้ตอบร้อยละ 26 เป็นอันดับสี่ และอันดับที่ห้าคือ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลง มีผู้ตอบร้อยละ 21

จากการสอบถามความเชื่อมั่นในการบริหารงานของรัฐบาลปัจจุบัน พบว่า ในด้านเศรษฐกิจนั้น นักวิเคราะห์ร้อยละ 68 มีความเชื่อมั่นในระดับปานกลาง ร้อยละ 21 มีความเชื่อมั่นเล็กน้อย และมีเพียงร้อยละ 11 ที่ไม่มีความเชื่อมั่น ส่วนในด้านสังคมและการเมือง พบว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58 เชื่อมั่นปานกลาง ร้อยละ 32 เชื่อมั่นเล็กน้อย ในขณะที่นักวิเคราะห์ที่เชื่อมั่นมาก และไม่เชื่อมั่นมีร้อยละ 5 เท่ากัน

ทั้งนี้ นโยบายสำคัญที่นักวิเคราะห์มีข้อเสนอแนะให้ภาครัฐดำเนินการ อันดับแรก คือ แนะนำให้รัฐบาลมีความระมัดระวังและรอบคอบในการออกมาตรการหรือนโยบายต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายทางการเงินการคลัง เช่น มาตรการกันสำรอง 30% การออกกฎหมายถือครองหุ้นของคนต่างด้าว เป็นต้น เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุนและความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยมีผู้ตอบถึงร้อยละ 42 นอกจากนี้ยังมีนักวิเคราะห์ร้อยละ 32 แนะนำให้รัฐบาลเร่งดำเนินโครงการเมกะโปรเจ็กต์โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับโครงสร้างสาธารณูปโภคให้รวดเร็วและโปร่งใส สำหรับนโยบายสำคัญด้านอื่นที่นักวิเคราะห์เสนอ ได้แก่ การเร่งสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยและต่างชาติ การเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้สามารถจัดการเลือกตั้งได้ตามกำหนดเวลา เป็นต้น

ต่อคำถามเกี่ยวกับผลกระทบต่อดัชนีราคาหุ้นหากรัฐบาลปัจจุบันจำเป็นต้องยืดเวลาออกไปอีก 6 เดือน - 1 ปีจากเดิมที่คาดว่าอยู่ครบ 1 ปีในเดือนตุลาคม 2550 นั้น นักวิเคราะห์จำนวนร้อยละ 79 มองว่าจะส่งผลลบ ในขณะที่ร้อยละ 21 เห็นว่าไม่น่ามีผลกระทบต่อดัชนีหุ้น

จากผลสำรวจประมาณการตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจสำหรับปี 2550 สมาคมนักวิเคราะห์ฯ พบว่า นักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการตัวเลขต่าง ๆ ลดลงจากผลสำรวจเมื่อเดือนตุลาคม 2549 โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth เฉลี่ยของปีนี้ลดลงเล็กน้อยเป็น 4.2% เทียบกับการสำรวจครั้งก่อนที่ 4.5% ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS Growth เฉลี่ยก็ต่ำลงจากเดิม 4.4% เป็น 2.6%

สำหรับตัวเลขสำคัญ ณ สิ้นปี นักวิเคราะห์คาดว่า ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้เดิม โดยอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สรอ. ณ สิ้นปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 35.7 บาท จากเดิมคาดไว้ 37.4 บาท สำหรับอัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ในปลายปีนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.1% ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET Index สิ้นปีนี้เฉลี่ยคาดว่าอยู่ที่ 729 จุด ลดลงจากการสำรวจที่ผ่านมา โดยมีสำนักวิจัยที่พยากรณ์ดัชนีสิ้นปีสูงสุดที่ 800 จุดและสำนักวิจัยที่คาดการณ์ดัชนีวันสิ้นปีไว้ต่ำที่สุดที่ 680 จุด

ในส่วนของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ ประเมินจากอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ จากผลที่ได้จากแบบสอบถาม พบว่า กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จะเติบโตสูงสุด โดยมีค่าเฉลี่ย EPS Growth ที่ร้อยละ 18.7 อันดับสองคือ ธนาคาร เติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 10.2 อันดับต่อมาคือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และปิโตรเคมี เติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 2.8 และ 0.3 ตามลำดับ

นักวิเคราะห์ที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่หรือร้อยละ 89 เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติจะยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากราคาหุ้นไทยนับว่าถูกมาก และยังมีกระแสเงินลงทุนไหลเข้าภูมิภาคเอเซียจำนวนมาก ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าไทยด้วย ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ผลตอบแทนในการลงทุน 5 ประเภท โดยคาดว่าการลงทุนในหุ้นสามัญปีนี้จะได้รับผลตอบแทนในอัตราสูงที่สุด หรือเฉลี่ยร้อยละ 9.8 อันดับสองคือ ทองคำ ได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ 7.6 และอันดับสามได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยใกล้เคียงกันหรือร้อยละ 7.5 คือ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่กองทุนตราสารหนี้ได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ 5.6 และอันดับสุดท้ายคือ เงินฝากธนาคาร คาดว่าผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.7

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่น่าลงทุนนั้น นักวิเคราะห์แนะนำ ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง และพลังงาน ตามลำดับ ทั้งนี้ เชื่อว่าอัตราการเติบโตของกลุ่มธนาคารจะอยู่ในระดับสูง เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะช่วยให้สินเชื่อขยายตัวขึ้น อสังหาริมทรัพย์ก็จะได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเช่นกัน รับเหมาก่อสร้างจะได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนของรัฐบาล เช่น การประมูลโรงไฟฟ้า รถไฟฟ้า รวมถึงการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน สำหรับพลังงานได้รับความนิยมลดลงเหลืออันดับสี่ แต่บางบริษัทในหมวดพลังงานยังได้ประโยชน์จากการประมูลโรงไฟฟ้าใหม่

หุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัย ได้แก่ BANPU, BBL, KBANK, LPN, SCB, SEAFCO เป็นต้น

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com