May 8, 2024   12:06:14 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สัญญาณหุ้น
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 07/02/2007 @ 09:51:21
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.เอเชียพลัสแนะนำถือ IHLราคาเป้าหมาย 18.48 บาท
งวด 4Q49 คาดจะเติบโตมากสุดของปี โดยมี Norm Profit อยู่ที่ 41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.5% yoy มาจากยอดขายที่ขยายตัวต่อเนื่องจาก 3Q49 ทำสถิติสูงสุดเท่ากับ 369 ล้านบาทเติบโต 19.6% yoy เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากงานมอเตอร์โชว์ในเดือน ธ.ค. 2549และคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นของรถ Toyota Fortuner และ Camry โฉมใหม่ ซึ่งเริ่มเข้ามาช่วงปลาย 3Q49 รวมถึงคำสั่งซื้อใหม่ที่เข้ามาสร้างรายได้บางส่วนของ Honda CRV /Nissan Frontier และ Mitsubishi (USA) ขณะที่ Gross Margin คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 22.1% เทียบกับ 18.8% ใน 4Q48 จากการผลิตที่ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาดมากขึ้น และปรับปรุงประสิทธิภาพสายการผลิต แต่ลดลงจาก 3Q49 ผลจากต้นทุนราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น โดยรวมคาด Norm Profit ทั้งปี 2549 อยู่ที่ 85.7 ล้านบาท แต่ลดลง 29% yoy ผลจากช่วงกลางปี ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนโมเดลรถรุ่นใหม่ของลูกค้า ส่งผลให้ยอดขายหดตัวและความสามารถในการทำกำไรลดลง หากกำไรงวด 4Q49 เป็นดังคาดจะส่งผลให้กำไรรวมทั้งปี 2549 สูงกว่าที่ฝ่ายวิจัยเคยคาดไว้ราว 13.4% สาเหตุหลักมาจากยอดขายที่ฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ 3Q49 ประกอบกับประสิทธิภาพในการทำกำไรดีขึ้นเช่นกัน ขณะที่แนวโน้มปี 2550 คาดว่าจะกลับมาเติบโตโดดเด่นมากขึ้น จากกำลังการผลิตของโรงงานแห่งใหม่ที่จะเริ่มเดินเครื่องช่วงปลาย 1Q50 เพื่อรองรับคำสั่งซื้อของ Toyota Camry /Fortuner และคำสั่งซื้อรถรุ่นใหม่ที่เข้ามาช่วง 4Q49 ทั้ง 3 โมเดลข้างต้น ที่เริ่มสร้างรายได้มากขึ้น ประกอบกับมีการขยายสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น การผลิตเบาะเครื่องบิน ส่งออกไปยังฝั่งยุโรป และให้มาร์จิ้นสูง ดังนั้นเพี่อให้สอดคล้องกับข้อมูลข้างต้น จึงปรับเพิ่มประมาณการปี2549-2550 (รายละเอียดด้านข้าง) ส่งผลให้กำไรปี 2550 เพิ่มขึ้น 34.4% จากเดิม กำหนด Fair Value อิง P/E 10 เท่า จะได้มูลค่าพื้นฐานปี 2550 ใหม่ที่ 18.48 บาท (เดิม 13.76 บาท) มี upside 7.5%

บล.บัวหลวงแนะนำซื้อ TOPราคาเป้าหมาย 67.00 บาท
เราคาดว่า TOP จะรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 4/49 ที่ 2,300 ล้านบาท (EPS: 1.1บาท) โดยปรับตัวลดลง 40% จากไตรมาสก่อนและ 57% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนสาเหตุหลักที่ทำให้ผลกำไรปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนเป็นผลมาจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ลดลง ส่วนกำไรที่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนนั้นเป็นผลมาจากการที่กำไรในไตรมาส 4/48 บริษัทได้บันทึกกำไรจากการกลับรายการด้อยค่าของสินทรัพย์ของบริษัทไทยลู้บเบส (TLB) จำนวน 2,900 ล้านบาท ทั้งนี้ กำไรในปี 2549 คาดว่าจะอยู่ที่ 17,000 ล้านบาท (EPS: 8.3 บาท) ลดลง 9.2 % จากปีก่อน ค่าการกลั่นปรับตัวลดลงมาอยู่ที่2.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล: เราคาดว่าค่าการกลั่นพื้นฐานในไตรมาส 4/49 คาดว่าจะอยู่ที่ 3.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงจาก 4.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาส 3/49 นอกจากนี้ TOP น่าจะรับรู้ผลขาดทุนจากมูลค่าน้ำมันคงคลังเนื่องจากราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปรับตัวลดลง 2.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจากไตรมาสก่อน (คิดเป็นผลกระทบต่อค่าการกลั่นประมาณ 0.6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล) ดังนั้น เราคาดว่าค่าการกลั่นในปี 2549จะอยู่ที่ 5.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อัตราการใช้กำลังการผลิตในโรงกลั่นของ TOP คาดว่าจะอยู่ที่ 223KBD ลดลง 20KBD จากไตรมาสก่อน โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ลดลงนี้มีสาเหตุมาจากการปิดซ่อมบำรุงของหน่วย CDU-1 เป็นเวลา 1 เดือน นอกจากนี้ อัตราการใช้กำลังการผลิตที่ลดลงนี้อาจส่งผลให้อัตราการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานของบริษัท TLBปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน เราคาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตของTLB จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 80%-85% จาก 94% ในไตรมาส 3/49

บล.เคจีไอแนะนำซื้อ BBLราคาเป้าหมาย 136.00 บาท
BBL คาดว่าจะตัด Gross NPL Ratio เหลือ 5-6% ในปี 2550 และเหลือ 2-3% ในปี2551 โดยการตัดสูญและปรับโครงสร้างหนี้ ในปี 2550 เป็นนัยว่าหนี้สูญจะลดลงประมาณ 33-42 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้ Gross NPL จะลดลงเหลือ 46-55 พันล้านบาทในปี 2550ลดลงจาก 89 พันล้านบาทในปี 2549 การสำรองหนี้สูญของธนาคารฯเฉพาะส่วนที่เป็น NPLปัจจุบันอยู่ที่ 47.3 พันล้านบาท รวมกับการตั้งสำรองทั่วไปที่ 5.2 พันล้านบาทต่อปีในประมาณการของเรา จะเพียงพอโดยไม่ก่อให้เกิดปัจจัยลบต่อการประมาณการของเรา เล็งเป้าหมายใหม่ในกลุ่ม SMEs ผ่าน Commercial and Business Banking Group (SMEs)จากผลตอบแทนเฉลี่ยในกลุ่มนี้ที่สูงกว่ากลุ่ม Corporate and Consumer Banking ประมาณ 100-150 bps ตามแนวโน้มตลาด ทำให้อัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์น่าจะปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ความต้องการเงินทุนก็จะต่ำลงจากน้ำหนักความเสี่ยง (Risk WeightAsset) ที่จะลดลงหลังการใช้ Basel II เหลือ 0.75 จาก 1 ขอกลุ่ม SMEs การขยายตัวของสินเชื่อ: BBL คาด การขยายตัวของสินเชื่ออยู่ที่ 5% ในปี 2550 เท่ากับปี 2549 เราพิจารณาปรับลดการขยายตัวของสินเชื่อในปี 2550 เป็น 5.2% จาก 6.2% จากการชะลอสินเชื่อของลูกค้าขนาดใหญ่และการตัดหนี้สูญ ส่วนต่างดอกเบี้ย: BBL คาดว่า NIMจะลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 3% ในปี 2550 จาก 3.18% ในปี 2549 จากอัตรา MLR ที่ลดต่ำลงแต่ผลกระทบจะไม่รุนแรงมากนักเนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นจากการลด NPL และผลตอบแทนสินทรัพย์ที่สูงขึ้นจากตลาดการรุกเข้าตลาด SMEs มากขึ้น ดังนั้นเราคงประมาณการส่วนต่างดอกเบี้ยในปี 2550 ที่ 3.08% แต่ปรับเพิ่มในปี 2551 อีก 15 bps

บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อ GSTEELราคาเป้าหมาย 1.30 บาท
บมจ. จี สตีล (GSTEEL) เราคาดหมายว่าจะมีกำไรสุทธิในไตรมาสสี่เท่ากับ 549 ล้านบาท(กำไรต่อหุ้น 0.06 บาท) ฟื้นตัวจากไตรมาสสาม 193% แต่ลดลงจากปีก่อน 21% โดยได้แรงหนุนจากยอดขายที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4,888 ล้านบาท (+22%qoq, +9%yoy) จากสมมติฐานปริมาณขาย 260,000 ตัน (+25%qoq, +1%yoy) และ ราคาขายเฉลี่ย 18,800 บาท/ตัน (-3%qoq, +8%yoy) ซึ่งไตรมาสสามที่ผ่านมามีการปิดซ่อมบำรุงเป็นเวลา 10วัน ทำให้ปริมาณขายน้อยกว่าปกติ อัตรากำไรขั้นต้นคาดหมายว่าจะปรับลดลงเล็กน้อยเหลือ 11.5%จาก 12.7% ในไตรมาสก่อน จากราคาขายที่ลดลง ในขณะที่ลดลงมากจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 17.8% ในไตรมาสสี่นี้คาดหมายว่าจะเริ่มรับรู้ค่าธรรมเนียมจาก NSM ปีละประมาณ 13.2 ล้านเหรียญ ช่วยชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ 120 ล้านเหรียญ สำหรับซื้อ NSM และ เงินกู้เป็นดอลลาร์ประมาณ $290 ล้านจะทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 220 ล้านบาทแนวโน้มปริมาณขายในปี 2550 เราคาดหมายว่าจะฟื้นตัวหลังจากที่ติดลบในปีก่อน เนื่องจากปัจจัยลบหลายประการผ่อนคลายและสถาบันเหล็กฯก็ประเมินความต้องการเหล็กจะเพิ่ม 17%โดยเราประเมินปริมาณขายในปีนี้เท่ากับ 1.1 ล้านตัน ฟื้นตัว 11% หลังติดลบ 9% ในปีก่อนมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1,415 ล้านบาท (EPS 0.3 บาท) เพิ่มขึ้น 62% แต่เป็นประมาณการที่ลดลง 17% การปรับตัวสูงขึ้นของราคาเหล็กในตลาดโลกในช่วง 2-3สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ทำให้ดัชนีหุ้นกลุ่มเหล็กในตลาดหุ้นสหรัฐฯพุ่งขึ้นถึง 12% เทียบกับดัชนี S&P500 ที่ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 2% (ดูกราฟหน้าถัดไป) คาดจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มเหล็กของไทยรวมถึง GSTEEL ดังนั้น เราจึงแนะนำ ทยอยสะสม ซึ่งเป็นคำแนะนำซื้อแบบระมัดระวังเนื่องจากผลประกอบการขึ้นกับความไม่แน่นอนของราคาเหล็กในตลาดโลกที่ในระยะยาวยังมีความไม่แน่นอนอยู่ โดยประเมินราคาเหมาะสมเท่ากับ 1.3 บาท หรือ ซื้อขาย P/E ปี 2550 เท่ากับ 10 เท่า ซึ่งปรับลดลงจากราคาเหมาะสมเดิม 1.4 บาท

ที่มา ข่าวหุ้น[/color:437b3bfb88">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com