arthor สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 803 | #1 วันที่: 16/01/2007 @ 09:37:32 : re: ยูมิจังมาแว้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หมั่นตรวจสุขภาพ
หุ้น มันไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ แต่คนที่ถือหุ้นตางหากที่เอาหุ้นกับจิตใจของตัวเองผูกเชื่อมโยงมัดรวมเข้าไว้ด้วยกัน ที่บอกว่าหุ้นมันไม่มีชีวิตเพราะมันเป็นเพียงของสมมุติที่นักลงทุนพยายามมองหาพื้นฐานของมัน ความคิดของคนสามารถมองแตกต่างกันได้ ขนาดว่าคนที่เรียนมาด้วยกัน เติบโตมาด้วยกันหรือแม้นแต่จะกินข้าวหม้อเดียวกัน มองสิ่งของสิ่งเดียวกัน ยังมองไม่เหมือนกัน และหากใส่อารมณ์ลงไปเวลาที่คุยความเห็นที่แตกต่างกันเผลอๆตีกันอีกตะหาก เราไม่รู้เลยว่าพื้นฐานหุ้นจริงๆแล้วมันคืออะไร เราพยายามจะแปลพื้นฐานของหุ้นเป็น มูลค่าของหุ้น โดยพยายามมองว่ากำไร-ขาดทุนมันเท่าไหร่ ปันผลมากน้อยแค่ไหน ยอดขายเติบโตไหม โดยพยายามเอาตัวเลขต่างๆไม่ว่าจะเรื่องดอกเบี้ย GDP, P/E, EPS, Grow ฯลฯ มาเปรียบเทียบเพื่อหา ราคาหุ้น หากคิดแบบนั้นผมว่าหุ้นในตลาดคงมี P/E เท่ากันหมดนะ ทำไมต้องมาแยกว่าอุตสาหกรรมนี้ P/E น่าจะมากกว่า อะไรคือ ความแตกต่าง ที่จะบอกว่าอุตสาหกรรมไหนควรมี P/E เท่าไหร่ หรือไปมองว่าต่างประเทศเค้าเป็นแบบนั้นเลยเชื่อตามไปกับเค้าด้วย เราไม่มีมาตรฐานเรื่องพวกนี้เลยนะ กำลังเงินมันทำให้เกิดมาตรฐานความเชื่อไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพื้นฐานหุ้นกับมูลค่าหุ้นมันน่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่เพราะมันมีมาตรฐานทางความเชื่อที่แตกต่างกันนี่สิ เลยทำให้เราไม่รู้ว่ามารตฐานของเรากับของเค้ามันแบบเดียวกันไหม พื้นฐานทาง ธุรกิจ มันมองกันไม่ยากแต่ที่เรากำลังปวดหัวค้นหากันคือ มูลค่าของหุ้น ในตลาดหุ้น ตลาดทุน ความมั่นใจของคนมันมาจากคนๆนั้นเล็งเห็นพื้นฐานในสิ่งที่จะลงทุน แต่ก็เป็นการมองพื้นฐานหุ้นของแต่ละคน แต่ละมาตรฐาน เมื่อเล็งเห็นพื้นฐานหุ้นด้วยความมั่นใจแล้วก็ถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุดนั่นคือ การควักเงินออกมาทำในสิ่งที่คิด เป็นผลสรุปของการวิเคราะห์พื้นฐานหุ้นมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว การที่จะมีใคร ควักเงินใส่ลงไปในหุ้น ไม่ได้หมายความว่าพื้นฐานหุ้นตัวนั้นดีเสมอไปนะ มันอาจจะดีบางเวลาช่วงสั้นๆ(ปั่นหุ้นก็ได้) แต่หากการใช้เงินเหล่านั้นมีความต่อเนื่อง มีจำนวนมาก อย่างน้อยเราก็ต้องจัดให้เป็น หุ้นที่น่าติดตาม เป็นหุ้นที่ต้องเฝ้าติดตามดูไปจนกว่าความเชื่อมั่นของคนปรับเปลี่ยนโดยความคิดเปลี่ยนการใช้เงินในหุ้นตัวนั้นมันจะเปลี่ยนตามมาเอง ดังนั้นเรามีหุ้นอะไรก็ควรที่จะ หมั่นตรวจสุขภาพ พาไปตรวจสุขภาพประจำปี ประจำไตรมาสกันบ้างนะ การตรวจสุขภาพมันมีหลายแบบ จะตรวจด้วยการวินิจฉัยด้วยศาสตร์แห่งวิชาชีพ เพียงแค่มองแล้วสอบถามอาการก็สั่งยาได้แล้ว ซึ่งการที่จะตรวจแบบนี้ได้คนตรวจต้อง อัครอภิมหาสุดยอดทางศาสตร์แห่งวิชาชีพ เลยนะแต่หากไม่เก่งมากขนาดนั้นแต่อาศัยเครื่องไม้เครื่องมือสมัยใหม่มาช่วย สมัยนี้เครื่องมือแพทย์สามารถช่วยในเรื่องการวินิจฉัยโรคได้เยอะมากนะ แต่มันยังไม่สามารถตัดสินใจเองได้ เพียงแต่เป็นได้แค่ ผู้ช่วย ในการดูประกอบเพื่อวินิจฉัยโรคเท่านั้น อีกหน่อยไม่แน่นะ..อาจจะมีคนคิดเครื่องมือออกมาได้นะที่ทำเป็นอุโมงค์พอคนเดินเข้าไปมันก็สแกนบบอกออกมาเลยว่าคนๆนี้เป็นอะไรยังไงบ้าง(เหมือน MetaStock ที่มีคนพยายามให้มันสามารถคิดเองได้แบบนี้) ผมว่าการคิดอะไรที่มีรูปแบบทางคณิตศาสตร์ ยึดรูปแบบตายตัวที่ 1+1 ต้องเท่ากับ 2 ทุกครั้งมันไม่น่าจะมาใช้ได้กับเรื่องของการลงทุนที่มีเรื่องของความอยากของคนผสมอยู่ได้นะ มันเป็นเพียงศาสตร์และความเชื่อเพื่อทำให้ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งความน่าเชื่อถือตรงนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวเพราะคนเชื่อกันมากแต่กลับจะเป็นโอกาสให้คนที่เชื่ออีกแบบที่แตกต่างฉกฉวยโอกาสออกไปได้ หากเราไม่เก่งหรือมั่นใจในศาสตร์ของการตรวจวินิจฉัยโรค เราก็ต้องหา ผู้ช่วย ที่จะมาคอยช่วยเราวินิจฉัยว่าหุ้นตัวนี้ยังเป็นหุ้นดีและที่สำคัญราคาจะยังคงดีไหม เพราะในตลาดหุ้นคนส่วนใหญ่บอกว่า หุ้นดีราคาต้องดี แต่ในความจริงแล้ว ไม่จำเป็น เพราะ หุ้นดีแต่ราคามันจะดีบางเวลาไม่ใช่ทุกเวลา ดังนั้นการตรวจสุขภาพของหุ้นก็ควรจะตรวจมันหลายๆด้าน ไม่ใช่เพียงแค่มองด้วยศาสตร์แต่ต้องมองด้วยศิลป์ประกอบไปด้วย หากจะตรวจกันแบบละเอียดๆหน่อยก็ต้องจับเข้าเครื่อง X-Ray ตรวจดูภายในกันบ้างนะ จับมาสแกนคลื่นสมอง วัดปริมาณน้ำตาลคลอเลสโตรอล วัดความดัน ตรวจคลื่นหัวใจกันหน่อย ผมมองว่ารูปร่างภายนอกที่เราเห็นว่าคนๆนี้(หุ้นตัวนี้)สุขภาพดี แข็งแรง กระฉับกระเฉงในการวิ่งไปหากำไร ยังไม่แสดงอาการเหนื่อยเมื่อยล้าให้เห็น มันยังไม่สามารถทำให้อุ่นใจได้ควรจะหาวิธีตรวจเข้าไปดู ข้างใน ดูกระแสเลือดหล่อเลี้ยงร่างกาย(กระแสเงิน) ดูว่ามีความดันสูงเกินไปไหม(ปั่นหุ้นแบบไร้ปัจจัยไหม) มีเส้นเลือดตรงไหนตีบตันหรือเปล่าหรือมีเนื้อร้ายโผล่ออกมาให้เห็นไหม(เริ่มมีการขายทำกำไรหรือยัง) สรุปคือเราควรหมั่นตรวจสุขภาพทั้งภายในและภายนอกของหุ้นด้วยพื้นฐานหุ้นทางธุรกิจและพื้นฐานหุ้นทาง Technical ประกอบควบคู่กันไป ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ได้เสียหายอะไรเลยเพราะ ค่าตรวจ ที่จ่าย ไม่ใช่ตัวเงินแต่เป็น เวลาส่วนตัว ที่เสียไปกับการเฝ้าติดตามดูเท่านั้น สุขภาพหุ้นมันก็เหมือนสุขภาพของตัวเราเอง เพราะเวลาหุ้นขึ้นสุขภาพจิตของเราก็ดีใจตามขึ้นไปด้วย เวลาที่หุ้นลงสุขภาพจิตของเราก็ลงตาม วันไหนเจอหุ้นแกว่ง 20 จุด สงสัยเสียงหัวใจคงสูบฉีดเลือดดังฟืด..ฟาด... ไม่รู้มีใครเคยทำวิจัยไหม ที่อาจจะเป็นไปได้ว่าคนที่เล่นหุ้นอาจจะไม่เป็นโรคหัวใจเพราะหัวใจทำงานหนักกว่าคนปกติ ไม่แน่นะหากมันเป็นจริงๆ อีกหน่อยใครเป็นโรคหัวใจหมออาจจะแนะนำว่าให้ไปเล่นหุ้น อาจจะหายก็ได้
ขอบคุณ : ข้อคิดดีๆจากพี่ร๊อคครับ |