ในช่วงเดือนธันวาคมปี 2549 ที่ผ่านมานับว่ามีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น และส่งผลดต่อประเทศไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั้นก็คือมาตรการสำรอง 30% เงินทุนนำเข้า และเหตุระเบิดกลางกรุงเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยลบต่อการลงทุนในตลาดหลักรัพย์และตลาดกองทุนรวม
ขณะเดียวกันยังมีการแก้ไขพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เข้ามากดดันในขณะนี้ก็ยิ่งทำให้กองทุนรวมมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงหนักยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามจากเหตุการณ์2 เรื่องแรกนับว่าส่งผลกระทบในช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้วมาก

ข่าวหุ้นธุรกิจจึงได้สำรวจความเคลื่อนไหวกองทุนรวมเดือนธันวาคมระหว่างวันที่( 30 พ.ย.-29 ธ.ค. 49 ) โดยครั้งนี้จะนำเสนอกองทุนรวมที่อิงกับตลาดหุ้นเท่านั้น ซึ่งมีด้วยกัน 3 ประเภทคือ กองทุนรวมตราสารแห่งทุน กองทุนรวมผสม และกองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่น

อย่างไรก็ตามแม้ตลาดหุ้นไทยจะถูกรุมเร้าด้วยข่าวร้าย แต่ก็ยังมีกองทุนที่ปรับตัวขึ้นสวนกระแสภาวะตลาดหุ้นได้เช่นกันนั่นคือ กองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่น จากกองทุนทั้งหมด 87 กองทุน โดยมีกองทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 16 กอง ลดลง 71 กอง

สำหรับกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด จากกองทุนทั้งหมด 3 ประเภทคือ กองทุนเปิดมอร์แกนสแตนลีย์คันทรีฟันด์ ของบลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด มีมูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยเพิ่มขึ้นถึง 3.67% มาที่ 28.4227 บาทจากเดิม 27.4152 บาท

อันดับ 2 , 3 และ 4 เป็นของบลจ. กสิกรไทย จำกัด ทั้งหมด คือ กองทุนเปิดรวงข้าวคืนกำไร 4 มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยเพิ่มขึ้นถึง 0.53% มาที่10.8716 บาทจากเดิม 10.8137 บาท
ต่อด้วยกองทุนเปิดรวงข้าวคืนกำไร 7 มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยเพิ่มขึ้นถึง 0.36%มาที่ 10.6922 บาทจากเดิม 10.6530 บาท และกองทุนเปิดรวงข้าวคืนกำไร 6 มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยเพิ่มขึ้นถึง 0.31% มาที่ 10.7766 บาทจากเดิม 10.7424 บาท

ส่วนอันดับ 5 คือ กองทุนเปิดทหารไทยธนวัฒน์ ของบลจ.ทหารไทย จำกัด มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยเพิ่มขึ้นถึง 0.29% มาที่ 13.2836 บาทจากเดิม 13.2439 บาท

ส่วนกองทุนที่ปรับตัวลดลงต่ำสุดในกลุ่มนี้คือ กองทุนเปิดพรีมาเวสท์เฟล็กซิเบิ้ลฟันด์ของบลจ. พรีมาเวสท์ จำกัด มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงถึง 12.60% มาที่ 11.2207 บาทจากเดิม 12.8385บาท อันดับ 2 คือ กองทุนเปิดไทยทวีทุน ของ บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงถึง 11.63% มาที่ 1,525.3295 บาทจากเดิม 1,726.2410 บาท

ส่วนอันดับ 3 , 4 และ 5 เป็นของ บลจ. ทิสโก้จำกัดทั้งหมด คือกองทุนเปิด ทีซีเอ็ม พลทรัพย์ มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงถึง 11.15% มาที่ 8.7653 บาท จากเดิม 9.8662 บาท กองทุนเปิด ทิสโก้ แอ็กเกรสซีฟ โกรท ฟันด์มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงถึง 11.13% มาที่ 20.1551 บาท จากเดิม 22.6802 บาท กองทุนเปิด ทิสโก้ เฟล็กซิเบิ้ล ฟันด์มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงถึง 11.04% มาที่ 13.2027 บาท จากเดิม 14.8412 บาท

สำหรับกองทุนตราสารแห่งทุนปรับเพิ่มขึ้นเพียง 1 กอง ลดลง 103 กอง จากทั้งหมด104 กอง โดยกองทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นคือ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล อิควิตี้ ฟันด์ ของบลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยเพิ่มขึ้นถึง 1.86% มาที่ 11.8357บาทจากเดิม 11.6190 บาท

ส่วนกองทุนที่ปรับลดลงต่ำสุด คือ กองทุนบัวหลวงร่วมทุน ของบลจ.บัวหลวง จำกัดมูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงถึง 12.13% มาที่ 6.5297 บาท จากเดิม 7.4316 บาท อันดับสองคือ กองทุนทิสโก้ ทวีทุน ของบลจ.ทิสโก้ จำกัด มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงถึง 11.36% มาที่ 12.5317 บาท จากเดิม 14.1383 บาท

อันดับ 3 และ4 เป็นของบลจ.ทิสโก้ จำกัด คือ ทิสโก้หุ้นทุนปันผล มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงถึง 10.84% มาที่ 2.6223 บาท จากเดิม 2.9412 บาท และกองทุนเปิด ทีซีเอ็ม หุ้นทุน มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงถึง 10.81% มาที่ 3.4860 บาท จาเดิม 3.9087
บาท ส่วนอันดับ 5 คือ กองทุนทรัพย์สมบูรณ์ ของบลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงถึง 10.19% มาที่ 29.8311 บาท จากเดิม 33.2178 บาท

ปิดท้ายด้วย กองทุนรวมผสม เดือนที่ผ่านมาปรับลดลงทุกกองทุน โดยกองทุนที่ปรับลดมากที่สุดคือ กองทุนเปิด ทิสโก้ทรัพย์สมดุล ของบลจ. ทิสโก้ จำกัด มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงถึง 7.04% มาที่ 13.9789 บาท จากเดิม 15.0380 บาท อันดับ 2 คือคือ กองทุนกาญจนอนันต์ ของบมจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงถึง 5.61%มาที่ 12.5225 บาท จากเดิม 13.2672บาท

อันดับ 3 คือ กองทุนเปิดบัวขวัญ ของบลจ.บัวหลวงจำกัด มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงถึง 5.14% มาที่ 13.6371 บาท จากเดิม 14.3775บาท

อันดับ 4 คือ กองทุนเปิดรวงข้าวดุลทรัพย์ปันผล ของบลจ.กสิกรไทย มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงถึง 5.07% มาที่ 10.3467 บาท จากเดิม 10.8999บาท

อันดับ 5 เป็นของบลจ. ไอเอ็นจี(ประเทศไทย) จำกัด คือ กองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยบาลานซ์ฟันด์ มูลค่าเอ็นเอวีต่อหน่วยลดลงถึง 4.94% มาที่ 10.3104 บาท จากเดิม 10.8472 บาท