April 29, 2024   2:01:01 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > ตลาดหุ้นปิดบวก สวนทิศทางลบตลาด ตปท.
 

Toon
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 973
วันที่: 09/01/2007 @ 11:02:15
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

SETวานนี้ ตลาดหุ้นปิดบวก สวนทิศทางลบของตลาดหุ้นต่างประเทศ ส่งผลให้ดัชนีมาปิดตลาดที่ระดับ 633.82 จุด บวก 5.63 จุด หรือ +0.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 14,624.74 ล้านบาท โดยปรับตัวขึ้นในกลุ่มเทคโนโลยี วัสดุก่อสร้าง พลังงาน และเคมีภัณฑ์

หุ้นที่ปรับตัวขึ้น 230 บริษัท ปรับตัวลง 113 บริษัท และไม่เปลี่ยนแปลง 89 บริษัท

วานนี้นักทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1,305.10 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 120.56 ล้านบาท

คาดการณ์แนวโน้มตลาดในระยะสั้น

เราคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวในช่วง 628-642 จุด เป็นแนวโน้มแกว่งตัวแดนบวกตามตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยดาวโจนส์ +25 จุด จะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นเอเชียปานกลาง

ในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยจะดีดตัวขึ้นตามแนวโน้มตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยปัจจัยบวกและลบใหม่ๆ ยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งในช่วงไร้ปัจจัยใหม่ๆ นี้ ตลาดหุ้นไทยจะดีดตัวขึ้นได้หลังจากที่ปรับลงแรงมา 5 วัน นับตั้งแต่ 28 ธ.ค.2549

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการลงทุนจะซบเซาลงบ้าง เนื่องจากความกังวลของนักลงทุนต่อมาตรการของรัฐบาลยังมีอยู่ โดยเฉพาะ ร่าง พรบ.ธุรกิจคนต่างด้าว ที่มีผลกระทบต่อบรรยากาศการเก็งกำไรในตลาดหุ้น

ส่วนข่าวการลอบวางระเบิดได้ตอบรับแนวโน้มหุ้นทางลงไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่เรามองว่าก็ยังไม่อาจวางใจได้ในสัปดาห์นี้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนโดยภาพรวมในระยะสั้น เราแนะนำ ซื้อขายช่วงแนวรับแนวต้าน ในระยะ 1-2 วัน เช่น ITD (4.54-4.70), RRC (15-15.60), PHATRA (26-27.25), BAY-W1 (5.05-5.40) ส่วนระยะกลางให้เป็นถือเงินสดรอซื้อ

ประเด็นที่น่าสนใจ

การเมืองและเศรษฐกิจไทย

1) นายกรัฐมนตรี ระบุถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดใน กทม.และปริมณฑล เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.49 ว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้หลักฐานผู้ต้องสงสัยจากภาพโทรทัศน์วงจรปิดในที่เกิดเหตุ แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าผู้ก่อเหตุเชื่อมโยงกับกลุ่มบุคคลใด ขณะที่ ผู้บัญชาการสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ ยืนยันเหตุระเบิด 8 จุด ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.49 เป็นการกระทำของคนร้ายกลุ่มเดียวกัน คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะทราบผลการตรวจพิสูจน์สะเก็ดระเบิด

ด้านประธาน คมช.สั่งจับตาการเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลสำคัญบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มอำนาจเก่าอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเกรงว่าจะมีการเคลื่อนไหวช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.50 ขณะที่ คาดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะยังไม่เดินทางกลับไทยในช่วงนี้

2) วานนี้ (8 ม.ค.50) การประชุมสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) นัดแรก โดยมีวาระเลือกประธานและรองประธาน ส.ส.ร.ได้เลือกคุณนรนิติ เศรษฐบุตร อดีตเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า เป็นประธาน ส.ส.ร.โดยไม่มีการลงมติ เนื่องจากคุณสวัสดิ์ โชติพานิช อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม และคุณจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม ถอนตัวจากการชิงตำแหน่ง ส่วนผู้ที่ได้รับเลือกเป็นรองประธาน ส.ส.ร. คนที่ 1 คือ คุณเสรี สุวรรณกานนท์ อดีต ส.ว.และรองประธาน ส.ส.ร. คนที่ 2 คือ คุณเดโช สวนานนท์ อดีต ส.ส.ร.

ทั้งนี้ หลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานและรองประธาน ส.ส.ร.แล้ว จะมีการเลือกคณะกรรมการธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 25 คน รวมกับรายชื่อทาง คมช.เลือกอีกจำนวน 10 คน เป็นกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดจะต้องแล้วเสร็จภายใน 15 วัน

3) วันนี้ (9 ม.ค.50) ติดตามการประชุม ครม.ในประเด็นสำคัญ ได้แก่

- กระทรวงพาณิชย์จะเสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และเสนอร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง

- ติดตามว่า รมว.คลัง จะเสนอให้ ครม.พิจารณาการต่ออายุมาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้บริษัทจดทะเบียนออกไปอีก 1 ปี สำหรับบริษัทจดทะเบียนใน ตลท.ตั้งแต่ปี 50 โดยให้ลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 25% เป็นเวลา 3 รอบบัญชี หรือไม่

4) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ S&P ระบุเหตุลอบวางระเบิดใน กทม.และปริมณฑล ในวันที่ 31 ธ.ค.49 เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในไทย โดยไทยจำเป็นต้องฟื้นความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศ เนื่องจากผลกระทบดังกล่าวส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศอย่างมาก โดย S&P ให้อันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศของไทยที่ BBB/A-2 และสกุลเงินบาทที่ A/A-1 โดยมีแนวโน้มมีเสถียรภาพ นอกจากนี้ ยังระบุว่าแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงจะบั่นทอนการสนับสนุนอันดับความน่าเชื่อถือของไทยต่อไป ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินมาตรการพลิกฟื้นบรรยากาศการลงทุน

อย่างไรก็ตาม S&P ระบุถึงมุมมองด้านความมีเสถียรภาพทางการเมืองในไทย ได้รับผลกระทบจากการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มที่คัดค้าน ส่งผลให้เกิดการรัฐประหารในวันที่ 19 ก.ย.49, การวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนเกี่ยวกับการขายหุ้น SHIN, การแปรรูปรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง และประเด็นการทำ FTA ซึ่งบ่งชี้บรรยากาศในประเทศไม่เอื้ออำนวยต่อนักลงทุนต่างประเทศ และบรรยากาศได้ย่ำแย่ลงอีกหลังการคัดค้านแผนการขยายกิจการของบริษัทค้าปลีกข้ามชาติ ทำให้รัฐบาลร่างกฎหมายเพื่อควบคุมกิจการดังกล่าว

5) รมว.คลัง คาดว่ารัฐบาลจะสามารถเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน 5 เส้นทาง โดยคาดว่า สายสีแดง (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) จะเปิดประมูลได้ภายในเดือน มี.ค.50, สายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) จะเปิดประมูลได้ช่วงเดือน พ.ค.50, สายสีแดง (รังสิต-บางซื่อ) และสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-ท่าพระ และช่วงบางซื่อ-บางแค) จะเปิดประมูลได้ภายในเดือน ก.ค.50 ส่วนสายสีเขียว (บางหว้า-สะพานใหม่ และช่วงพรานนก-สมุทรปราการ) กำลังศึกษารายละเอียด ส่วนแหล่งเงินทุนอาจมีการระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรในประเทศ หรือการกู้เงินจากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิค)

6) ธปท.ยืนยันไม่ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ของเงินลงทุนจากต่างประเทศที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ยกเว้นเงินลงทุนในตลาดหุ้นและเงินลงทุนโดยตรง รวมถึงยังไม่ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ในกองทุนรวมและกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ ธปท.จะมีการประเมินผลจากมาตรการดังกล่าวเป็นระยะ และอาจผ่อนคลายวิธีปฏิบัติ หรือยกเลิกมาตรการย่อย ซึ่งสาเหตุที่ ธปท.ไม่ยกเลิกมาตรการดังกล่าว เนื่องจากหากยกเลิกในทันทีอาจทำให้ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าได้อีก ซึ่งมาตรการที่ออกมาทำให้เงินบาทขณะนี้มีเสถียรภาพ

นอกจากนี้ ธปท.คาดว่าค่าเงินบาทในปี 50 จะไม่แข็งค่าขึ้นมาก เนื่องจากคาดว่าในปี 50 ไทยจะยังคงขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และขณะนี้ยังไม่เห็นเงินทุนไหลออก

ประเด็นในตลาดหุ้นไทย

1) วานนี้ (8 ม.ค.50) หอการค้าร่วมต่างประเทศในไทย (JFCCT) และสถานทูตประเทศสมาชิกประจำประเทศไทย แถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 โดยระบุการแก้ไขคำนิยามของคนต่างด้าวใหม่ถือเป็นการกีดกั้นการลงทุนและจำกัดสิทธิของนักลงทุนต่างประเทศในไทย ทำให้บรรยากาศการลงทุนในไทยเสียและนักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นและอาจถอนการลงทุน ทั้งนี้ หาก ครม.ผ่านความเห็นชอบการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจะเกิดผลกระทบกับนักลงทุนต่างประเทศ ทำให้จำกัดจำนวนกิจกรรมทางธุรกิจภายใต้กฎหมาย โดยเฉพาะในบัญชีแนบท้าย 3 ซึ่งต้องการให้ยกเลิก

ทั้งนี้ JFCCT เสนอให้กระทรวงพาณิชย์ชะลอการนำการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ออกไปอีก 6 เดือน โดยกระทรวงพาณิชย์ควรเริ่มต้นกระบวนการปรับปรุงแก้ไขใหม่ โดยศึกษาผลดีผลเสียและให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือผู้ถูกกฎหมายบังคับได้ร่วมแสดงความคิดเห็น

2) วานนี้ (8 ม.ค.50) การประชุมสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (สธท.) มีข้อสรุปให้สมาคมที่อยู่ภายใต้ สธท.ซึ่งประกอบด้วย สมาคมโบรกเกอร์ สมาคมบริษัทจดทะเบียน (บจ.) สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สมาคมนักวิเคราะห์ และสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กลับไปสำรวจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของ ธปท.ภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อนำข้อมูลผลกระทบดังกล่าวเสนอต่อ ธปท.และขอผ่อนผันการใช้มาตรการดังกล่าว

3) ระหว่างวันที่ 9 ม.ค.-2 ก.พ.50 ตลท.สั่งห้ามซื้อขาย MAJOR-W1 เนื่องจากใกล้ครบกำหนดการใช้สิทธิ และจะส่งผลให้ MAJOR-W1 พ้นสภาพจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนใน ตลท.ตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ.50 เป็นต้นไป

ข่าวที่น่าสนใจ

BANPU ตั้งเป้ารายได้ในปี 50 เติบโตประมาณ 20% จากปี 49 ที่สามารถทำรายได้มากกว่า 3 หมื่นล้านบาท

BANPUตั้งเป้ารายได้ในปี 50 เติบโตประมาณ 20% จากปี 49 ที่สามารถทำรายได้มากกว่า 3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากราคาถ่านหินปรับตัวดีขึ้น ขณะที่บริษัทกำลังประเมินผลกระทบทางธุรกิจจากมาตรการกันสำรอง 30% ของ ธปท.คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัทมากกว่าเหตุวางระเบิดใน กทม.เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.49 ส่วนสถานการณ์ในปัจจุบันคาดว่าตัวเลขการส่งออกของบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ด้านกระแสเงินทุนไหลเข้าจะต้องมีการประเมินอีกครั้ง

CENTEL ได้รับผลกระทบไม่มากหลังลูกค้ายกเลิกห้องพักหลังเกิดเหตุระเบิดในกรุงเทพ

CENTELได้รับผลกระทบไม่มากหลังจากลูกค้ายกเลิกห้องพักไป 50% หลังเกิดเหตุระเบิดใน กทม.เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.49 เนื่องจากลูกค้าที่ยกเลิกเป็นคนไทย ส่วนลูกค้าต่างชาติมีน้อยมาก ส่วนธุรกิจในปี 50 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวม 8.0-8.2 พันล้านบาท หรือเติบโตกว่า 20% เมื่อเทียบกับปี 49 ที่มีรายได้ 6.7 พันล้านบาท โดยมาจากธุรกิจอาหารประมาณ 4.8 พันล้านบาท และธุรกิจโรงแรมประมาณ 3.4 พันล้านบาท

AP หันมาพิจารณาอย่างรอบคอบเรื่องทำเลและราคาที่ดินมากขึ้น หลังเกิดเหตุระเบิดในกรุงเทพ

APหันมาพิจารณาอย่างรอบคอบเรื่องทำเลและราคาที่ดินมากขึ้น หลังเกิดเหตุระเบิดใน กทม.เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.49 เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค และลดการแข่งขันในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหม่ อย่างไรก็ตาม ในปี 50 บริษัทยังคงแผนลงทุนซื้อที่ดินโดยใช้งบลงทุนประมาณ 1.5 พันล้านบาท เพื่อรองรับการเปิดโครงการใหม่ โดยในปี 50 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ประมาณ 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 4.5 พันล้านบาท

HANA รับหุ้นเพิ่มทุน 6.58 แสนบาท เข้าเทรดวันนี้ (9 ม.ค.50)

ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์

เช้านี้ (9 ม.ค.50) เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 35.55-35.98 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สำหรับเงินบาทวานนี้ (8 ม.ค.50) แข็งค่าเล็กน้อยจากแรงขายดอลลาร์ของกลุ่มผู้ส่งออก ทั้งนี้ เงินบาทไม่ได้รับผลกระทบหลัง ธปท.ไม่ยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เงินลงทุนจากต่างประเทศ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 35.56-36.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และมาปิดตลาดที่ระดับ 35.56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX และ IPE

ราคาน้ำมันดิบตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.50 ปรับลง 22 เซนต์ 0.4% ปิดตลาดที่ระดับ 56.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ตลาด IPE ส่งมอบเดือน ก.พ.50 ปรับลง 4 เซนต์ 0.07% ปิดตลาดที่ระดับ 55.6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากตลาดคาดว่าสต็อกน้ำมันฮีทติ้ง ออยล์ อาจปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากสภาพอากาศในสหรัฐอบอุ่นผิดฤดูกาล ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันดังกล่าวลดลงด้วย

ตลาดหุ้นต่างประเทศอื่นๆ

ตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนี Dow Jones บวก 25.48 จุด หรือ +0.21% ปิดตลาดที่ระดับ 12,423.49 จุด ดัชนี S&P 500 บวก 3.13 จุด +0.22% ปิดตลาดที่ระดับ 1,412.84 จุด ดัชนี Nasdaq บวก 3.95 จุด หรือ +0.16% ปิดตลาดที่ระดับ 2,438.2 จุด จากแรงหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลังการปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนในหุ้น IBM และความเห็นรองประธาน FED ซึ่งระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวปานกลาง โดยมีเงินเฟ้อลดลง

ตลาดหุ้นลอนดอน ดัชนี FTSE 100 ลบ 25.9 จุด 0.42% ปิดตลาดที่ระดับ 6,194.2 จุด จากแรงกดดันในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์หลังการปรับลดอันดับความน่าลงทุนในหุ้นแลนด์ ซีเคียวริตี้ และหุ้นสลาว รวมไปถึงหุ้นกลุ่มน้ำมันตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง

.000A

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com