April 29, 2024   2:38:34 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > +++ สัญญาณหุ้น +++
 

Puu
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 476
วันที่: 09/01/2007 @ 09:23:36
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

บล.ซิกโก้แนะนำซื้อ BSBMราคาเป้าหมาย 1.45 บาทSSEC คาดการณ์ รายได้จากการขายใน 4Q06E ของบริษัทที่ 970 ลบ. เพิ่มขึ้น 47.6%YoYและ 20.7% QoQ เนื่องจากราคาขายเหล็กเส้นเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 18,500บาท/ตัน หรือเพิ่มขึ้น 5.7% QoQ และปริมาณขายปรับเพิ่มขึ้น 18.9% QoQ มาอยู่ ที่ 52,400 ตัน ขณะที่ สต็อกวัตถุ ดิบยังอยู่ในระดับต่ำ และยังได้รับผลดี จากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นต่อเนื่องส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9.7% เพิ่มขึ้นจาก 3.1% ใน3Q06A และ -23.1% ใน 4Q05A และมีกำไรสุ ทธิที่ 69 ลบ. เพิ่มขึ้ น767.9% YoY SSEC เชื่อว่ามีโอกาสที่บริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลสำหรับครึ่งปีหลัง 100% ได้ เพราะบริษัทมีเงินสดในมือเป็นจำนวนมาก รวมถึงไม่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่เพิ่มเติม โดยคาดเงินปันผลจ่ายสํหรับผลประกอบการครึ่งปีหลังที่ 0.07 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น Dividend Yield ที่ 6.3%หลังจากที่รัฐบาลจีนมีการเก็บภาษีส่งออกสำหรับผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 49 ตามนโยบายที่จะลดการส่งออกสินค้าเหล็กกึ่งสำเร็จรูป และส่งเสริมการส่งออกผลิตภั ณฑ์เหล็กสำเร็จรูปให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนโยบายดังกล่าวครอบคลุมถึงวัตถุดิบที่สำคัญของบริษัทคือเหล็กแท่งยาว (Billet) ทำให้ราคาวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น โดยเราคาดว่าอั ตรากำไรขั้นต้นของบริษัทใน FY07E จะลดลงมาอยู่ ที่ 8.1% จาก9.2% ในปีที่ผ่านมา และคาดการณ์กำไรสุทธิที่ระดับ 233 ลบ. ลดลง8.8% YoY

บล.สินเอเชียแนะนำซื้อ ATCราคาเป้าหมาย 37.75 บาทACLS ปรับประมาณการกำไรปกติของ ATC ปี 49 ลงเล็กน้อย 1% เนื่องจากใน 4Q49 คาดว่าจะมีการรับรู้ขาดทุนจากสินค้าคงเหลือซึ่งเป็นผลจากการปรับลงของราคาน้ำมันประมาณ 10ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการใช้คลังเก็บวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์และการใช้ท่าเรืออีกประมาณ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ได้ปรับประมาณการปี 50 ขึ้น 6% จากเดิมโดยเป็นการปรับในส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบที่ดี กำไรปกติปี 49 ของ ATCจะอยู่ที่ประมาณ 5,764 ล้านบาท ลดลง 2% YoY และจะเพิ่มขึ้นประมาณ 6% YoY เป็น 6,089 ล้านบาทในปี 50 จากกำลังการผลิตที่คาดว่าจะผลิตได้เต็มที่ รวมทั้งมีโครงการไซโคลเฮกเซน (ใช้เบนซีนเป็นวัตถุดิบหลัก) เข้ามาเสริมตั้งแต่ 2H49 โดยมีกำลังการผลิตที่150,000 ตันต่อปี และคาดว่าจะให้ EBITDA ที่ประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีแนวโน้มอุตสาหกรรมอะโรเมติกส์นับจากช่วง 4Q49 และต่อไปถึงปี 50 ยังอยู่ในภาวะที่ดีจากการเติบโตทางด้านความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ในขณะที่ปริมาณกำลังการผลิตยังตึงตัวเนื่องจากมีโครงการปิโตรเคมีในอิหร่านเลื่อนออกไปประมาณ 1-2 ปี ซึ่งจะเห็นได้จากราคาผลิตภัณฑ์ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นอีกครั้ง จากกำลังการผลิตส่วนเพิ่มของพาราไซลีนที่ยังคงน้อยกว่าความต้องการใช้ จากการเลื่อนของโครงการผลิตพาราไซลีนในตะวันออกกลางไป 1 ปี ทำให้แนวโน้มราคาพาราไซลีนยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากความต้องการยังเติบโตประมาณ 6%ต่อปี ในขณะที่ปริมาณกำลังการผลิตตึงตัวจากความล่าช้าของโครงการดังกล่าวข้างต้น ส่วนแนวโน้มราคาเบนซีนก็อยู่ในระดับสูงเช่นกัน เป็นผลจากการเลื่อนการขึ้นโรงงานผลิตเบนซีนในตะวันออกกลางไปอีก 1-2 ปีเช่นกัน โดยคาดว่าในช่วง 1H50 ราคาอะโรเมติกส์จะคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากปลายปี 49 เนื่องจากจะมีการหยุดซ่อมบำรุงของโรงงานอะโรเมติกส์หลายโรงในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจะเห็นได้จากราคาขายของพาราไซลีนเดือนม.ค.50 อยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันและราคาเบนซีนอยู่ที่ 1,050-1,060 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน และมีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบประมาณ 570 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันทั้งสองผลิตภัณฑ์

บล.กิมเอ็งแนะนำซื้อ SCBราคาเป้าหมาย 69.00 บาทผู้บริหาร SCB แจ้งว่า มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารอาจจะตั้งสำรองเต็มจำนวนในไตรมาส 4/49 สำหรับ NPLs ทั้งหมดแม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดให้สามารถแบ่งการตั้งสำรองได้เป็น 3 งวดบัญชีโดยสิ้นสุด ณ 31 ธันวาคม2550 ก็ตาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการของ SCB นอกจากนี้ ผู้บริหารชี้แจงว่า ในปี 2550 SCB มีนโยบายการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้ฯ เพิ่มขึ้นเป็นไตรมาส ละ 900 ล้านบาท จากเดิมที่ไตรมาสละ 300-450 ล้านบาทเพื่อรองรับการเติบโตของสินเชื่อที่ตั้งเป้าเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง เราไม่ได้มีมุมมองที่เป็นลบ เนื่องจากเชื่อว่าความชัดเจนในการตั้งสำรองล่วงหน้าจะส่งผลให้ผลประกอบการในปี 2550 สะท้อนภาพที่เป็นจริงในการดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง เราประมาณการว่า ผลประกอบการกำไรสุทธิไตรมาส 4/49 จะออกมาเท่ากับ 925 ล้านบาท ลดลง 74.9% qoqและ 79.0% yoy โดยคาดว่า SCB จะเพิ่มระดับการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้ล่วงหน้าสำหรับNPLs ที่มีอายุ 3-6 เดือน ที่จะต้องตั้งเพิ่มขึ้นในปี 50 ส่งผลให้คาดว่ากำไรสุทธิทั้งปีจะปรับตัวลดลง 19.6% เป็น 13,007 ล้านบาท หรือลดลง 31.1% เมื่อเทียบกับปี 48 ที่ผ่านมาสำหรับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิทั้งปีคาดว่าจะเติบโตสูง 56.0% yoy ตามปริมาณสินเชื่อทั้งปีที่คาดว่าจะเพิ่มสูงถึง 12% ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายจะเพิ่มขึ้นมากเช่นกันที่ 184.9% จากโปรแกรมการระดมเงินฝากพิเศษ ส่งผลให้คาดว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 3.4-.3.5%SCB ยังไม่มีการปรับแผนธุรกิจแม้จะมีเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมในช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อสุทธิเติบโตสูงถึง 165,000 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นกว่า 15% โดยจะเน้นการเติบโตเพิ่มขึ้นมากในส่วนของสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อรายย่อย ขณะที่ยังการเติบโตในด้านรายได้ค่าธรรมเนียม SCB แจ้งว่าตั้งเป้าเติบโตใกล้เคียงกับปี 49 ที่ผ่านมาเท่ากับ 18-20% อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) จะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากฐานสินเชื่อที่เติบโตมากขึ้น เราประมาณการว่า NIM ของธนาคารในปี50 จะอยู่ที่เท่ากับ 3.3-3.4%

บล.ธนชาตแนะนำซื้อ MAJORราคาเป้าหมาย 13.4 บาทราคาหุ้น MAJOR ปรับลดลงราว 12.6% ในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา และลดลงต่ำกว่าSET ซึ่งมีการปรับลดลงเพียง 4.7% ในช่วงเดียวกัน ความกังวลของตลาด คือ ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง หลังจากที่มีเหตุการณ์ระเบิดขึ้นในกรุงเทพในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ส่งผลให้ชาวกรุงเทพหลีกเลี่ยงที่จะไปเดินเที่ยวในศูนย์การค้า ซึ่งรวมถึงoutlet ของMAJOR ในกรุงเทพฯ (คิดเป็น 80% ของ outlet ทั้งหมด) ด้วย ถึงแม้ว่าจะมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่เข้าคิวออกฉายในปีนี้ แต่ผลการดำเนินงานของ MAJOR ในปีนี้จะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ถึงแม้ว่าเราเห็นด้วยกับความกังวลของตลาดฯ ที่มีต่อประเด็นดังกล่าว แต่เราคิดว่าการที่ราคาหุ้นปรับลดลงเกือบ 13% ในระยะเวลาเพียง 3วันนั้นมากเกินไป ซึ่งตามประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ฯ พบว่า กรณีที่เลวร้ายสุด คือ ให้สมมติฐานว่าอัตราการเข้าชมภาพยนตร์ของ MAJOR, รายได้จากโบว์ลิ่ง และรายได้ค่าโฆษณาในปีนี้ลดลงราว 20% จากปี 2006 จะทำให้ norm EPS ของ MAJOR ในปี 2007อยู่ที่0.84 บาท/หุ้น (จากกรณีปกติที่มี norm EPS ที่ 0.97 บาท/หุ้น) และจะมีการจ่ายเงินปันผลราว 0.54 บาท (ในช่วง 1H06 มี payout ratio อยู่ที่ 64%) ถ้าคำนวณจากP/E ที่ระดับต่ำที่ 16 เท่า จะได้ราคาเหมาะสมของหุ้น MAJOR ที่ 13.4 บาทซึ่งเป็นราคาที่ได้คำนวณรวมปัจจัยเกี่ยวกับผลกระทบทางการเมืองที่ยังไม่จบไว้แล้ว นอกจากนี้ ถ้าเราไม่คำนวณรวมถึงผลกระทบด้านลบที่เกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดหวังนี้ เรายังคงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยพื้นฐานของ MAJORเนื่องจาก แนวคิดทางด้านธุรกิจ entertainmentในไทยยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว เราจึงเชื่อในศักยภาพในการเติบโตที่แข็งแกร่งของ MAJOR ในระยะยาว






[/color:76d771ba66">[/size:76d771ba66">

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com