April 29, 2024   5:35:12 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > สำรวจพี/อีหุ้นบลูชิพ
 

???
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
วันที่: 08/01/2007 @ 09:57:50
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ตลาดหุ้นไทยยังถูกฉุดรั้งจากความไม่มั่นใจของนักลงทุนหลังแบงก์ชาติงัดกฎเหล็กเข้าขวางการเก็งกำไรค่าเงินบาทของนักลงทุนต่างชาติทุบดัชนีดิ่งลงเหว เคราะห์ซ้ำยังเกิดเหตุการณ์ระเบิดป่วนกรุงออกมาออกมาบั่นทอนความเชื่อมั่นอีกระลอกประเดิมต้อนรับพุทธศักราชใหม่ ด้านนักวิเคราะห์ประเมินต้องใช้ระยะเวลาเรียกความมั่นใจฟื้นตลาด ส่วนบล.ฟิลลิป แนะทยอยสะสมหุ้นบลูชิพ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ ที่ค่าพี/อี เดินถอยหลังไม่หยุดตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. เชื่อต่างชาติยังมองดีพร้อมใส่เงินหากทุกอย่างชัดเจนโดยเร็ว

จากการสำรวจดัชนีตลาดหุ้นไทยและกลุ่มหลักทรัพย์ขนาดใหญ่หลังเหตุการณ์มาตราสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ที่ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงไปอย่างหนักดัชนีร่วงไปถึง 108.41 จุด ซ้ำยังเกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิด 8 จุด ในหลายพื้นที่เขตกรุงเทพส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายรายก่อนตลาดหุ้นไทยจะเปิดทำการหลังหยุดยาวในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เพียง 2 วันทำให้บรรยากาศการลงทุนในวันแรกของปี 2550 มีแรงเทขายออกมาต่อเนื่องในวันที่ 3 มกราคม 2550 ดัชนีลดลงไปอีก 20.59 จุดและยังคงลดลงต่อเนื่องจากความไม่มั่นใจของนักลงทุนในสถานการณ์ปัจจุบัน

ส่วนดัชนีส่งท้ายสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม(5ม.ค.) ยังดิ่งลงอีก 20.03 จุด ปิดตลาดที่ 628.19 จุด หรือ 3.09% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 16,600 ล้านบาท

ทั้งนี้ค่าพีอีเรโชของดัชนีตลาดหุ้นไทยและของกลุ่มบูลชิพมีการปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับก่อนเกิดเหตุการณ์วันที่ 19 ธันวาคม 2549 โดยค่าพีอีของตลาดหุ้น ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2549 อยู่ที่ 8.03 เท่าขณะที่วานนี้ (5 ม.ค.2550) ค่าพีอีอยู่ที่ 7.55 เท่า

ส่วนค่าพีอีของกลุ่มธนาคารพาณิชย์วานนี้อยู่ที่ 9.39 เท่าลดลงจากวันที่ 18 ธันวาคม 2549 ที่อยู่ 9.88 เท่า ,กลุ่มพลังงานอยู่ที่ 5.39 เท่า ลดลงจากวันที่ 18 ธ.ค.ที่อยู่ 5.74 เท่า และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ค่าพีอีอยู่ที่ 10.45 เท่าลดลงจากวันที่ 18 ธ.ค.ที่อยู่ 13.27 เท่า

เก็บหุ้นบลูชิพรอฝรั่ง
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หากประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ถือว่ายังมีความผันผวนจากแรงขายของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติที่ยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์ภายในประเทศอย่างใกล้ชิดทั้งจากแรงกดดันทางการเมืองและผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจทำให้การลงทุนจึงยังคงมีความเสี่ยง

?ตลาดหุ้นระยะ 1-3 เดือนยังถูกแรงกดดันหลายทางทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ถดถอยลงไปตรงนี้ถือว่าสำคัญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเรียกความมั่นใจให้กลับมาเร็วที่สุดไม่เช่นนั้นตลาดหุ้นไทยก็ยังถูกแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง?นายอดิศักดิ์กล่าว

ทั้งนี้หากสถานการณ์ต่างๆมีแนวโน้มที่จะบานปลายและกินระยะเวลาเป็นเวลานานจะยิ่งบั่นทอนความมั่นใจ และส่งผลต่อภาคธุรกิจทั้งพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน การลงทุนในภาคธุรกิจใหม่ รวมถึงการปล่อยสินเชื่อของทางธนาคารพาณิชย์ที่จะสะดุด

แต่อย่างไรก็ตามมองว่านักลงทุนต่างชาติก็ยังมีมุมมองที่ดีต่อประเทศไทยและพร้อมที่จะเข้ามาลงทุนใหม่หากสถานการณ์ต่างๆ ได้รับการแก้ไขและมีความชัดเจนโดยเร็วที่สุดเพราะพิจารณาจากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ที่คาดว่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา รวมถึงราคาหุ้นมีการปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก

?เรื่องที่ดีก็คือต่างชาติยังมองเราดีก็คือรอดูสถานการณ์ถึงแม้จะไม่ใส่เงินเข้ามาแต่ก็พร้อมจะใส่ใหม่หากเรื่องต่างๆมีความชัดเจนและเราสามารถเรียกความเชื่อมั่นของเค้ากลับมาได้โดยเร็วซึ่งคงต้องใช้ระยะเวลา และเมื่อดูจากราคาหุ้นและพีอีเรโชหลายกลุ่มก็ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก?นายอดิศักดิ์กล่าว

นายอดิศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับคำแนะนำในช่วงนี้ยังคงให้น้ำหนักในหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ดีในขณะที่กลุ่มบลูชิพทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ ถึงแม้ยังมีโอกาสปรับตัวลดลงได้ต่อแต่ก็คาดว่าจะเป็นกลุ่มแรกที่ฟื้นตัวหากความเชื่อมั่นของตลาดกลับมา

แนวรับ 600-572จุด
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญกับความผันผวนจากความไม่มั่นใจในสถานการณ์เศรษฐกิจและความปลอดภัยในชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการยกเลิกหรือผ่อนคลายมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2549 ที่ผ่านมา ที่คาดว่ายังคงไม่เกิดในระยะเวลาอันสั้น รวมถึงสถานการณ์การวางระเบิดในกรุงเทพที่ยังมีโอกาสจะเกิดขึ้นซ้ำหลังจากที่นายกรัฐมนตรีส่งสัญญาณเตือนให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังและไม่ประมาท

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนยังคงแนะนำขายในระยะสั้นเนื่องจากดัชนีมีโอกาสปรับตัวลดลงไปได้ต่ำสุดถึง 600-572 จุด ส่วนระยะยาว 6-12 เดือนแนะนำเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีค่าพี/อี ต่ำและมีเงินปันผลสูง

 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com