April 29, 2024   5:19:34 AM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > กลยุทธ์เซียนฝ่าตลาดเลือด
 

kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
วันที่: 05/01/2007 @ 09:57:08
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

การเมืองร้อนระอุ หุ้นไทยแดงเถือก ร่วงไม่ลืมหูลืมตา ท่ามกลางข่าวระเบิดทั่วเมืองพบวัตถุต้องสงสัยตลอดทั้งวัน ตบท้ายด้วยข่าวลือปฎิวัติซ้อน เหมือนยิ่งตอกลิ่มลงลึก ตลาดหุ้นไทยเลือดไหลไม่หยุด ปิดตลาดดิ่งลงอีก 11 จุด หลุดแนวรับสำคัญ 650 จุด แต่ท่ามกลางวิกฤติยังมีโอกาส เซียนหุ้นระดมสมองแนะกลยุทธ์ตั้งรับ แทนที่จะนั่งกุมขมับจ้องหน้าจอ บล.ทีเอ็มบี แมคควอรี แนะกลยุทธ์ระยะสั้น หากไม่อยากนั่งตบยุงแก้กลุ้ม เลือกเล่นรายตัวที่ลงหนักๆ มีแววขยับได้ช่วงสั้น ส่วนระยะยาวทุกโบรกเห็นตรงกัน สะสม Defensive stocks ปันผลงาม รอจังหวะหุ้นขึ้นให้ขายถือเงินสดรอเข้าซื้อรอบใหม่ หลังตลาดสะเด็ดน้ำในช่วงครึ่งหลังเดือนมกราคม

นายกอบเกียรติ บุญธีรวร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทีเอ็มบี แมคควอรี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ยังอยู่ในภาวะอ่อนแออย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงกดดันจากปัญหาความไม่สงบภายในประเทศ และสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งชาวไทย และต่างประเทศอย่างมาก จึงส่งผลให้มีแรงขายออกมา และชะลอการลงทุนเพื่อรอดูแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจ รวมทั้งการปรับตัวของบริษัทจดทะเบียนกับการเปลี่ยนแปลงที่มีอย่างต่อเนื่อง

สำหรับการลงทุนในระยะสั้นฝ่ายวิจัยแนะนำว่านักลงทุนจะต้องยอมรับกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา โดยจะต้องพิจารณาลงทุนในหุ้นรายตัว หรือตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่ราคามีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากปรับตัวลงมาจนถึงจุดต่ำสุดแล้ว หรืออาจจะลงทุนตามปัจจัยบวกในแต่ละช่วงของบริษัทเหล่านั้น

ส่วนการลงทุนในระยะยาวฝ่ายวิจัยแนะนำว่าควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี เช่น หุ้นที่อยู่ใน Set50 ซึ่งมีสตอรีรองรับ และมีทีมผู้บริหารที่มีความเป็นมืออาชีพ สามารถบริหารและปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้มีกำไรได้ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ และปัจจัยลบเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ลงถึง640เริ่มมีแรงซื้อกลับ
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง1-3 เดือนจากนี้ยังคงมีความผันผวนสูง จากเหตุการณ์การวางระเบิดที่ยังไม่คลี่คลาย และยังมีกระแสข่าวการขู่วางระวางระเบิดอีกหลายพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งส่งผลกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประกอบกับสถาบันจัดอับความน่าเชื่อถือ S&P อาจจะพิจารณาปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศลงได้หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายไปในทางที่ดี

ทั้งนี้มองว่าบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้นดัชนีจะยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 640-620 จุด หรือหากจะมีการปรับตัวได้ก็ไม่เกิน 660 จุด ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินกลยุทธ์การลงทุนในช่วงตลาดหุ้นอ่อนตัวอย่างนี้ โดยการลงทุนระยะสั้นมองว่า จะเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาบ้างหลังจากที่ดัชนีได้ปรับตัวลดลงมาใกล้ระดับ 620-640 จุด แต่จะมีมูลค่าการลงทุนที่ไม่สูงมาก แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลงมามากแล้ว เพราะปัจจัยลบต่างๆยังไม่คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น

เก็บหุ้นDefensiveปันผลงาม
ส่วนการลงทุนในระยะยาวมากกว่า 3 เดือนนั้นฝ่ายวิจัย แนะนำทยอยสะสมหุ้น Defensive stocks หรือหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเศรษฐกิจ และการเมืองน้อยที่สุด คือ EGCOMP , RATCH , PTTEP , TTA , JTS และ SPPT เพราะมองว่าหุ้นดังกล่าวมีแนวโน้มการเติบโตที่มั่นคง

นอกจากนี้มองว่าหุ้นปันผลสูงก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจ ซึ่งการเลือกลงทุนในหุ้นปันผลในช่วงตลาดขาลงนั้นจะต้องพิจารณาผลตอบแทนจาก เมื่อเทียบจากราคาหุ้นในปัจจุบันด้วย โดยหุ้นที่แนะนำยังคงเป็นหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น EGCOMP RATCH พลังงาน PTTEP และเดินเรือ TTA เพราะเป็นหุ้นที่มีการเติบโตของรายได้และกำไรที่มั่นคงที่สุด[/color:94f6d16c31">


.00020

 กลับขึ้นบน
kaisel
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 3,380
#1 วันที่: 05/01/2007 @ 09:58:23 : re: กลยุทธ์เซียนฝ่าตลาดเลือด
ขายรอซื้อรอบใหม่
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด คาดการณ์แนวโน้มตลาดในระยะสั้น ว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในช่วง 648- 662 จุด ซึ่งเป็นแนวโน้มแกว่งตัวแดนลบต่อเนื่องได้จากความไม่มั่นใจในข่าววางระเบิดในกรุงเทพฯ ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ โดยข่าวลือการลอบวางระเบิดยังมีอยู่ตลอดซึ่งบั่นทอนบรรยากาศด้านบวกของตลาดหุ้นให้จางหายไป

?เราประเมินว่าตราบใดที่ทางรัฐบาลยังไม่สามารถชี้ชัดถึงผู้บงการวางระเบิดได้ ตลาดหุ้นจะตกลงต่อจากแรงขายด้วยความกังวลใจ และยืนอยู่นอกตลาด?บทวิเคราะห์ระบุ

ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงยังคงให้น้ำหนักปัจจัยนี้เพียงปัจจัยเดียวที่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในสัปดาห์นี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความไม่มั่นใจในตลาดหุ้นยังคงเกิดขึ้นอยู่ แม้ว่าตลาดหุ้นตกใน 1 วัน ไม่รุนแรงเท่ากับของวันที่ 19 ธันวาคม 2549 แต่ระดับราคาหุ้นถือว่าเกือบใกล้เคียงกับราคาปิดในวันนั้น

ส่วนในช่วงนี้มองว่าการขายหุ้นถือเงินสดอยู่นอกตลาดจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด จนกว่าเราจะเห็นความชัดเจนจากการจัดการของภาครัฐ ซึ่งตลาดหุ้นจะฟื้นตัวขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลจับผู้บงการวางระเบิดได้ และนั่นจะหมายถึงการคงอยู่อย่างมีเสถียรภาพต่อไปของรัฐบาลและ คมช. อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะใช้เวลาจัดการปัญหาทางการเมืองในครั้งนี้อีกหลายวัน แต่เชื่อว่าการลอบวางระเบิดใน กทม. จะทำให้รัฐบาลและคมช.กลับแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนโดยภาพรวมในระยะสั้นเราแนะนำให้ทยอยขายหุ้นถือเงินสด รอซื้อรอบใหม่ ซึ่งช่วงเวลาซื้อรอบใหม่น่าจะเป็นช่วงกลางเดือนนี้หรือครึ่งหลังเดือนมกราคม 2550 หลังจากที่ตลาดหุ้นได้ปรับลงจนซึมซับข่าวร้ายไปแล้ว

โผหุ้นรอดระเบิด
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในช่วงตลาดหุ้นผันผวน จากปัจจัยลบภายในประเทศที่มีความร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเกิดเหตุระเบิดตามสถานที่ต่างๆในเขตกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นยาวออกไปอีก ซึ่งส่งผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มโรงแรม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์โดยตรง

ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยประเมินว่ากรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้จะยังผันผวนอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงรอความชัดเจนจากการสอบสวนในกรณีเกิดเหตุระเบิด รวมทั้งการชี้แจงความเข้าใจต่อนักลงทุนต่างประเทศต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และการติดตามออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆออกมา เพื่อส่งเสริมการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่ชะลอการลงทุนต่อไปอีก

ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวจึงได้มีการสำรวจหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเหตุระเบิดในวันปีใหม่ที่ผ่านมา และมองว่าเป็นที่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีผลตอบแทนจากการจ่ายปันผลที่สูงเฉลี่ยที่ 5-9% และเหมาะสมแก่การซื้อลงทุนระยะยาวมากกว่า 3 เดือน ฝ่ายวิจัยแนะนำ CPF โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 5.85 บาท ยังมีอัพไซด์เหลือ 17% เมื่อเทียบจากราคาหุ้นในปัจจุบัน และมีผลตอบแทนจากการจ่ายปันผลสูงถึง 7% ส่วน GLOW ให้ราคาเป้าหมายที่ 34.80 บาท เหลืออัพไซด์ประมาณ 5% และมีผลตอบแทนจากการจ่ายปันผล 5.6% และ RATCH ให้ราคาเป้าหมายที่ 51.41 บาท เหลืออัพไซด์ประมาณ 28.76% อีกทั้งยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ส่วนVIBHA ให้ราคาเป้าหมายที่ 4.04 บาท เหลืออัพไซด์ประมาณ 30% ส่วน BH ให้ราคาเป้าหมายที่ 46.75 บาท คงเหลืออัพไซด์ที่ 28% ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากยอดผู้ใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้น ดัง นั้นซึ่งเหมาะกับการลงทุนในช่วงภาวะตลาดหุ้นผันผวนในช่วงนี้มากที่สุด




.00020

[/color:336832015e">
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com