kaisel สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 3,380 | วันที่: 28/12/2006 @ 09:32:34 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต ภาวการณ์ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังคงสภาพ?ป่วยไข้หายใจรวยริน? เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง ซึ่งเหตุผลหนึ่งคือเป็นช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งชะลอการลงทุน เนื่องจากยังขาดความมั่นใจต่อแนวโน้มการลงทุนระยะสั้น ที่ตัวแปรที่กระทบความเชื่อมั่นมีทั้งปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ ขณะที่แรงกดดันจากนโยบายการปรับตัว เพื่อเข้าสู่การแข่งขันการเปิดเสรีทางการเงินและความมุ่งมั่นที่จะเน้นการให้บริการให้แก่ลูกค้าของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จึงได้มอบนโยบายเกี่ยวกับ ?การคิดค่าธรรมเนียมในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2549 ? เป็นของขวัญชิ้นโบว์ดำให้กับผู้ติดต่อกับนักลงทุน เนื่องในเทศกาลคริสมาสต์และส่งท้ายปีหมาต้อนรับปีหมูแต่ยังเป็น?ของขวัญที่มีเงื่อนเวลาสำหรับนักลงทุน?ต่อไป
สาระสำคัญของข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2550 เป็นต้นไป นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการคิดค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย และการจ่ายผลตอบแทน แก่เจ้าหน้าที่การตลาด (ผู้ติดต่อกับนักลงทุน)ซึ่งในเรื่องค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์นั้น ใน 3 ปีแรก (1 ม.ค.2550-31 ธ.ค. 2552) ให้คิดในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 0.25 ของจำนวนเงินที่ซื้อหรือขาย สำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์ทั่วไป และในช่วง 2 ปีหลัง (1 ม.ค.2553-31 ธ.ค. 2554) ให้คิดค่าธรรมเนียมแบบขั้นบันได ซึ่งค่าธรรมเนียมจะอยู่ระหว่าง 0.18-0.25% และสามารถต่อรองแบบเสรีได้หากการซื้อขายต่อวันมีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 20 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต คิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 60 ของอัตราค่าธรรมเนีรยมการซื้อขายทั่วไป (เฉลี่ยล้านละ 1,500 บาท)
ประเด็นการจ่ายค่าตอบแทนแก่เจ้าหน้าที่การตลาด(ผู้ติดต่อนักลงทุน)ยังคงใช้ระบบ Incentive Schome และ ระบบ Saiary Based ให้พิจารณาตามผลงานโดยระบบ Incentive นั้นสมาชิกสามารถจ่ายให้ได้ไม่เกินร้อยละ 27.50 ของรายได้ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บ แต่ร้อยละ 25 ของผลตอบแทนที่คำนวณได้สมาชิกอาจจะจ่ายได้แต่ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นนอกเหนือจากมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์
ทั้งนี้เพราะเบื้องลึกแล้วสมาชิกอยู่ได้ด้วยรายได้จากค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย และมูลค่าการซื้อขายที่สุง และตลาดหลักทรัพย์เอง ก็กินหัวคิวจากกิจกรรมเหล่านี้ และหาผลประโยชน์บนหยาดเหงื่อของเจ้าหน้าที่การตลาด และบริษัทสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่ค่าธรรมเนรียมที่แพง และบริการที่ไม่ได้เรื่องของทางการหรือที่ทำให้ต้นทุนในการทำธุรกิจของบริษัทหลักทรัพย์นั้นสูงขึ้น เพราะองค์ประกอบเหล่านี้เป็นต้นทุนทางธุรกิจเช่นกัน ตัวอย่างที่เราพอจะมองเห็นในเชิงเปรียบเทียบ
สิ่งที่ทางการไทยกำลังทำคือ ?ต้องการคุณภาพที่สูง แต่ไม่ยอมควักกระเป๋า?ถามว่า?สิ่งเหล่านี้มีจริงหรือในโลกแห่งความเป็นจริง?ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ เรื่องการใช้นโยบายต่อสู้ค่าเงินบาท เราต้องการเปิดเสรีทางการเงิน แต่เราออกข้อบังคับเอาเปรียบชาวบ้านเขาชนิดที่ไม่มี ?พ่อค้าหรือนักธุรกิจคนไหนเขากล้าเข้ามาทำธุรกิจกับคุณ เพราะคุณหน้าด้าน+ใจดำ เอารัดเอาเปรียบ และเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าอภัย? ถามว่ามาตรการหรือวิธีการเหล่านี้หรือจะสามารถสร้างแรงจูงใจในการดึงเงินทุนจากต่างประเทศ หรือจากนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพราะแนวคิดที่ ?เอารัดเอาเปรียบ ? ในการวางนโยบายนั้นสะท้อนให้เห็นถึง ?จิตใจที่คับแคบ?
สำหรับหุ้นกลุ่มที่อาจจะต้องหลีกเลี่ยงการลงทุน เนื่องจากได้รับผลกระทบในเชิงนโยบายเรื่องรายได้ อย่างชัดเจนและต้องใช้เวลาในการปรบตัว คือ หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ เพราะแนวโน้มการทำธุรกิจอีก 3-5 ปี ข้างหน้า มีแนวโน้มการลดลงของรายได้ เนื่องจากผลกระทบด้านนโยบายและการหาแหล่งรายได้ทดแทนยังไม่ชัดเจน ส่วนหุ้นเกรดเก็งกำไรและลงทุนที่น่าติดตาม เช่น BROOK ITD STEC CK TRUE TOP RRC PTTEP
[/color:4a015ee184">
|