Puu สมาชิก
จังหวัด: กรุงเทพมหานคร โพสต์: 476 | วันที่: 27/12/2006 @ 09:04:08 คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่ ผลการโหวต ความดื้อรั้นยังไม่หมดสิ้นไปจากผู้บริหารแบงก์ชาติ และรัฐมนตรีคลัง ทั้งที่มีคนพร้อมจะให้โอกาสสำหรับการแก้ไขความผิดพลาด ส่งผลตลาดไทยซึมยาวด้วยพิษต่างชาติถอนตัว
* เมื่อวานนี้ แม้ดัชนีจะเป็นบวก แต่วอลุ่มตลาดรวมทั้งวันเปาะแปะแค่ 5.7 พันล้านบาท ไม่มีทางทำให้ดัชนีสิ้นปีนี้ทะลุ 700 จุดอย่างแน่นอน
* เลวร้ายสุดๆก็คือ กองทุนรวมทุกประเภท เพราะจากนี้ไปจะหาลูกค้าต่างชาติซื้อกองทุนไม่ได้อีกเลย เมื่อเจอมาตรการกักตัว 30% และหักภาษี 10% ใน 1ปีทันที จบสิ้นกันทีกับความพยายามสร้างตลาดทุนไทยอันยากลำบากหลายยุค
* หม่อมอุ๋ย ยังไม่เลิกดื้อรั้น ล่าสุดออกมาพูดหน้าตาเฉย เหมือนไม่เคยเข้าตลาดหุ้นมาก่อน ย้ำอีกว่า กรอบการวิจารณ์(ของนักวิเคราะห์) อยู่บนการทำกำไรและขาดทุนในธุรกิจของเขาเท่านั้น ไม่ได้มองในกรอบเศรษฐกิจประเทศในมวลรวม มันจะเหมารวมกันมากไปหน่อยแล้ว
* เกียรติก้องขอย้ำอีกครั้งว่า คนที่วิพากษ์มาตรการชิลีนั้น ไม่ได้มีแต่นักวิเคราะห์ แต่คนที่รักชาติและเข้าใจคุณค่าของตลาดทุนต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ก็มีอย่างมากมาย แต่เมื่ออยากจะปิดหู ปิดตา ปิดปากกันแล้วละก้อ มันก็ได้แค่นี้แหละ ...รอเวลานับถอยหลังเท่านั้นเอง เพราะสิ่งที่ทำมา ยืนยันว่า มีฝีมือแค่นี้เอง
* ส่วนรายนี้ นักคิดนิรนามฝีมือฉกาจแห่งสำนักศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกมาฟันธงชี้ว่า ปัญหาเศรษฐกิจไทยยามนี้ ต่างจากปี 2540 ลิบลับ
* ปัญหาของปี 2540 คือ เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการลงทุนและเงินทุนจากต่างชาติมากเกินไป ทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเรื้อรัง จนถูกโจมตีค่าบาท แต่ปีนี้ ปัญหาเกิดจากเศรษฐกิจไทย พึ่งพาการส่งออกมากเกินขนาดถึง 60%
* หากยังจำกันได้ ตอนที่ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นอำนาจ เพราะกับนโยบายเศรษฐกิจคู่ขนาน อันโด่งดังนั้น เป้าหมายคือ กระตุ้นภาคส่งออก พร้อมกับกระตุ้นเศรษฐกิจภายในให้แข็งแกร่ง ด้วยการสร้าง SMEs และการบริโภคของชนชั้นรากหญ้า
* ตลอดปีนี้ เมื่อทักษิณ เสื่อมอำนาจ เศรษฐกิจภายในเสื่อมโทรม ธุรกิจรากหญ้าถูกเพิกเฉยจากรัฐบาลหลังรัฐประหาร และการส่งออกคือเงื่อนตายสำหรับรัฐบาลประคองจีดีพี.ประเทศ การปกป้องการส่งออกด้วยต้นทุนที่แพงแสนแพงจึงเกิดขึ้น โดยเอาตลาดทุนเป็นต้นทุนสำคัญ
* ข้อสรุปชัดเจนของศูนย์วิจัยกสิกรไทยว่าว่า ประเด็นหลักมิได้อยู่ที่ว่าระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ แต่น่าจะอยู่ที่ว่าเศรษฐกิจไทยได้หันมาพึ่งพิงการส่งออกเพิ่มมากขึ้น สร้างแรงกดดันต่อทางการไทย ที่จะต้องพยายามประคับประคองความสามารถในการส่งออกดังกล่าว เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศ คือ เหตุผลเบื้องหลังการทำลายตลาดหุ้นไทยนับแต่วันที่ 19 ธันวาคมเป็นต้นมา
* ดังที่มีคนวิเคราะห์ไว้ชัด ต่างชาติรู้ดีว่า ในการโจมตีค่าเงินบาทรอบนี้ จุดอ่อนสำคัญคือ แบงก์ชาติและคลังจะต้องเร่งออกตราสารหนี้จำนวนมหาศาล มารองรับการต่อสู้ค่าเงินบาท ที่อาจจะขาดทุนในพอร์ตจากการแข็งของค่าบาทเร็วเกินคาด ดังนั้น จึงเข้ามาเล่น 2 ตลาดพร้อมกันในลักษณะเจาะยาง ทำให้แบงก์ชาติเสียท่าต้องพลิกขบวนงัดมาตรการชิลี ออกมาตอบโต้อย่างไร้เดียงสา...
* พูดไปก็เหนื่อยเปล่า...ขอข้ามไปพูดเรื่องอื่นดีกว่า เมื่อวานนี้ ขบวนการล้างระบอบทักษิณ อย่างบ้าเลือดยังดำเนินต่อไป ครม. สั่งยุบ สำนักแปลงสินทรัพย์เป็นทุน หรือ องค์กร Securitization ทั้งที่หน่วยงานนี้ยังไม่หมดอายุ อ้างเหตุผลง่ายๆ เปลืองงบประมาณ พร้อมส่งตัวเจ้าหน้าที่กลับสังกัดเดิมหมด ...ที่พึ่งของชาวรากหญ้าถูกทำลายอีกครั้งหนึ่งแล้ว
* น่าเสียดายที่คำว่าคุณธรรมของรัฐบาลขิงแก่ ไม่ได้ทำให้ความเกลียดชังที่มีต่อทักษิณ ชินวัตร ลดน้อยลง อะไรที่เป็นของทักษิณสร้างมา ต้องทำลายให้หมด โดยไม่สนใจว่าดีหรือเลว...เศร้า
* ข้ามมาอีกมุมหนึ่ง เมื่อวานนี้เช่นกัน คณะกรรมการธนาคารนครหลวงไทย ขัดแย้งกับกองทุนฟื้นฟูอย่างหนัก เรื่องตั้งเอ็มดีคนใหม่ เพราะบอร์ด ยืนยันสนับสนุน เลอศักดิ์ จุลเทศ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ คนในที่มีประสบการณ์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง แต่กองทุนฟื้นฟูฯผู้ถือหุ้นใหญ่จากแบงก์ชาติ ยืนกรานต้องเป็นเด็กเส้น จุลกร สิงหโกวินท์ อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารเอเชีย เท่านั้น ท้ายสุดลงเอยด้วยการล้มมติสรรหา กลับมานับหนึ่งกันใหม่ เป็นองค์กรไร้หัวเหมือนเดิม [/color:3a1ff5b0a3">
|