วันนี้ผมจะนำข้อมูลนำมาจากฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ของ บล.บีที มาลงให้ ซึ่งเช้านี้ผมขอเลือกเป็น TYONG เห็นว่าน่าสนใจเหมือนกัน สัปดาห์นี้ก็เป็นสัปดาห์สุดท้ายของปีนี้แล้วนะครับ อีกไม่นานก็จะเข้าปีหมู (ทอง) ปีใหม่ขอให้ทุกท่านพบเจอแต่สิ่งดี ๆ มีความสุข ขอคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองทุกท่านครับ

TYONG สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้ตามแผนฟื้นฟู และได้ยื่นขอต่อตลท.ให้สามารถกลับมาซื้อขายได้ตามปกติ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากตลาดฯ จากผลประกอบการงวด 6 เดือน สิ้นสุด 30/9/49 ผู้สอบบัญชียังไม่สามารถสรุปงบการเงิน ในปี 2550 รายได้ของบริษัทขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำกำไรจากโครงการเดิมและโครงการใหม่ๆ ซึ่งยังไม่แน่นอน ดังนั้นเราประเมินราคาเหมาะสม (เบื้องต้น) จากมูลค่าหุ้นทางบัญชี (หลังเพิ่มทุน) และอิง P/BVกลุ่ม 1.8X ซึ่งจะอยู่ที่ 0.56-1.00 บาท

TYONG จะกลับมาซื้อขายปกติในกลุ่มอสังหาฯ ในเดือน ธ.ค.นี้ หลังจากที่ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจทำให้ต้องเข้าสู่การฟื้นฟูกิจการ บริษัทได้ปรับโครงสร้างหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการโดย ลดทุน เพิ่มทุน และแปลงหนี้เป็นทุน รวมถึงการโอนทรัพย์ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ได้ตามแผน ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัทเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 49 ที่ผ่านมา จึงได้ดำเนินการยื่นขอต่อตลท. ให้กลับมาซื้อขายในหมวดปกติ คาดว่าตลท. กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาในการกลับเข้ามาซื้อขายในหมวดเดิม
ผู้สอบบัญชีไม่สรุปงบครึ่งปี? 49 (ณ 30/9/49) : (ก่อนเพิ่มทุน) ผลประกอบงวด 6 เดือนแรก บริษัทมีกำไรสุทธิประมาณ 2,656 ล้านบาท (EPS = 4.98 บาท) +290% YoY เนื่องจาก 1) บริษัทมีรายได้จากการโอนกลับหนี้สินที่เกินกว่าจำนวนหนี้สินตามคำสั่งจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จำนวน 1,597 ล้านบาท 2) มีกำไรจากการโอนสินทรัพย์เพื่อชำระหนี้ จำนวน 1,069 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูฯ บริษัทมีมูลค่าหุ้นทางบัญชี -48.52 บาท สัดส่วนหนี้สินต่อทุน -1.22 เท่า แต่เนื่องจากผู้สอบบัญชีไม่สามารถสรุปผลการสอบทานงบการเงิน ทำให้ตัวเลขในงบอาจจะไม่แสดงค่าที่แท้จริง

มูลค่าทางบัญชีเบื้องต้น (หลังเพิ่มทุน) 0.56 บาท : ตามแผนฟื้นฟู บริษัทได้เพิ่มทุนจาก 533 ล้านบาท เป็น 5,333 ล้านบาท โดยเพิ่มทุน 4,800 ล้านหุ้น (ราคาพาร์ 1 บาท) แบ่งเป็นให้ผู้ร่วมทุนใหม่ 4,266.66 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.50 บาท และ แปลงหนี้เป็นทุนอีก 533.33 ล้านบาท หลังเพิ่มทุน บริษัทมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ 24,441 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวม 4,211 ล้านบาท หนี้สินรวม 1,067 ล้านบาท สินทรัพย์ที่มีตัวตนสุทธิ (Net Tangible Assests) 3,004 ล้านบาท ประเมินมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (หลังเพิ่มทุน) อยู่ที่ 0.56 บาท
กำลังเจรจาขอซื้อที่ดินใกล้ BTS คืนจากแบงก์ : เนื่องจากปัจจุบันบริษัทไม่มีที่ดินที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า BTS เลย ขณะนี้บริษัทกำลังเจรจาขอซื้อคืนจากแบงก์เจ้าหนี้เพื่อนำมาพัฒนา ซึ่งเป็นที่ดินตรงสถานีพญาไท ฝั่งเดียวกับพญาไทพลาซ่า
ปี 2550 มีโครงการใหม่มูลค่า 1 หมื่นล้าน : บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการใหม่อย่างน้อย 3 โครงการ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ได้แก่ 1) โรงแรมโลว์ไรส์ ถนนสาทร เนื้อที่ 17 ไร่ พัฒนาเป็นบูติครีสอร์ต มูลค่า 1,300 ล้านบาท 2) โครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์สูง 2-3 ชั้นใกล้กับสปอร์ตคลับในโครงการธนาซิตี้ 3) โครงการซิลเวอร์ เลจ ไร่องุ่น 1,400 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านพักตากอากาศ ประกอบด้วย โรงแรม โรงบ่มไวน์ มูลค่าลงทุน 8,591 ล้านบาท บริษัทคาดว่าปี?50 (เม.ย.50-มี.ค.51) จะมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.17 บาท
จากการให้สัมภาษณ์ผู้บริหาร ภายใน 2 ปี บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาที่ดินและโครงการที่อยู่อาศัยเดิม ได้แก่ 1) โครงการธนาซิตี้-บางนา แบ่งแปลงแล้ว 210 ไร่ ที่ดินยังไม่แบ่งแปลง 20,000 ตร.วา คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 300 ยูนิต คิดเป็นพื้นที่ขาย 27,000 ตร.ม. มูลค่า 500-600 ล้านบาท 2) โครงการเดอะรีเจ้นท์-ราชดำริ เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ 82 หน่วย พื้นที่ขาย 6,000 ตร.ม มูลค่า 300 ล้านบาท และ3) โครงการบ้านเอื้ออาทรให้กับการเคหะแห่งชาติ จำนวน 20,000 หน่วย มูลค่า 8,400 ล้านบาท

ราคาเหมาะสม (เบื้องต้น) 0.56-1.00 บาท : เนื่องจากยังไม่สามารถประเมินราคาเหมาะสมตาม P/E ได้เพราะขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจากโครงการเดิม และโครงการใหม่ ซึ่งยังไม่มีความแน่นอน ดังนั้นเราประเมินราคาเหมาะสม (เบื้องต้น) ตามมูลค่าทางบัญชีของบริษัท และ อิง P/BVกลุ่ม 1.8X ซึ่งจะอยู่ที่ 0.56-1.00 บาท




.000005