May 19, 2024   6:24:26 PM ICT
เว็บบอร์ด > ห้องข่าว > "Circuit Breaker" ครั้งแรกประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย
 

???
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
วันที่: 20/12/2006 @ 08:10:47
คุณชอบกระทู้นี้หรือไม่

ผลการโหวต
ชอบ
0.00%
0 คน

ไม่ชอบ
0.00%
0 คน

ทันทีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ประกาศนโยบายสกัดกั้นเงินทุนต่างชาติไหลเข้าประเทศเพื่อเก็งกำไรค่าเงินบาท โดยออกมาตรการให้ธนาคารพาณิชย์กันสำรอง 30% ของเงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศที่อายุต่ำกว่า 1 ปีนั้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยร่วงอย่างระเนระนาดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

โดยผลกระทบจากมาตรการของธปท.ดังกล่าว ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ(SET INDEX) ปรับตัวลดลงสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 19.5 % และได้มีการนำมาตรการหยุดซื้อขายชั่วคราว(Circuit Breaker) มาใช้เมื่อดัชนีฯร่วงลงเกินระดับ 10% ซึ่งถือเป็นการมานำใช้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย

ถึงแม้ที่ผ่านมาจะมีเหตุการณ์ ที่ไม่ดีเกิดขึ้นในอดีต ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์แบล็คมันเดย์ สงครามอ่าวเปอร์เซีย คณะรสช.ยึดอำนาจรัฐบาลยุคสมัย พลเอกชาติชาย ชุหะวัณ เหตุการณ์พฤษภาฯทมิฬ รวมถึง เหตุการณ์ 911 เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ขณะที่เหตุการณ์ล่าสุด ที่คปค. มีการยึดอำนาจรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งยังไม่กระทบกับดัชนีตลาดมากขนาดนี้

การปรับตัวลงของดัชนีตลาดหุ้นที่มากถึง -108 จุด ถือว่าเป็นการปรับลดลงอย่างรุนแรงหลังจากที่ธปท.ออกมาประกาศสกัดการไหลเข้าของเม็ดเงินต่างชาติ โดยการสำรองทุนต่างชาติที่เข้ามา เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท เห็นได้ชัดเลยว่านอกจากจะเป็น แบล็กทิวส์เดย์ แล้ว ยังสามารถเรียกได้อีกอย่างว่า ธาริษา เอฟเฟ็กต์

-ธาริษาเอฟเฟ็กต์

ภายหลังจากที่นาง ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ประกาศมาตรการคุมเงินเก็งกำไรระยะสั้น ให้ธนาคารพาณิชย์กันสำรอง 30% สำหรับเงินทุนไหลเข้าระยะ 1 ปี ในช่วงเย็นวันที่ 18 ธันวาคม 2549ที่ผ่านมานั้น ทำให้ช่วงเช้าของวันต่อมาดัชนีตลาดหุ้นร่วงลงทันทีหลังจากเปิดทำการซื้อขาย โดยปรับตัวลงทันทีเกือบ 8% มาอยู่ที่ 665.09 จุด ลดลง 62 จุด โดยมีมูลค่าซื้อขายเกือบ 1 หมื่นล้านบาท

หลังจากนั้นเมื่อเวลา 10.30 น. ดัชนีได้มีการปรับตัวเด้งขึ้นมาจากเดิมที่เคลื่อนไหวอยู่ที่ 677.32 จุด ลดลง 53.23 จุด หรือ 7.29% มูลค่าการซื้อขาย 19593 ล้านบาท ซึ่งดัชนีสามารถยืนได้ที่ระดับดังกล่าวนานพอสมควร และยังไม่มีกาเรปลี่ยนแปลงใดๆ จนเมื่อเวลา 11.20 น. ดัชนีฯได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง และเมื่อเวลา 11.30 น.

ดัชนีได้ร่วงลงต่ำกว่า 10 %เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยอยู่ที่ระดับ 656.49 จุด ลดลง 74.06

จุด หรือลดลง 10.14% มูลค่าการซื้อขายกว่า 3 หมื่นล้านบาท

ทันที่ดัชนีหลุด 10% ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯประกาศใช้มาตรการ Circuit Breaker เพื่อหยุดการซื้อขายแล้ว โดยนาง ภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า ตลท.ได้เตรียมมาตรการบรรเทาผลกระทบในภาวะที่ตลาดหุ้นตื่นตระหนก หากดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยดัชนีปรับตัวลดลงถึงระดับ 10% ตลท.จะสั่งใช้มาตรการหยุดการซื้อขายชั่วคราว (Circuit Breaker) ในระดับที่ 1 หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์จึงหยุดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งหมดเป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที ตั้งแต่เวลา 11.29 น. ถึง 11.59 น. โดยระบบการซื้อขายจะอนุญาตให้ผู้ลงทุนส่งคำสั่งใหม่หรือยกเลิกคำสั่งได้ (Pre-open) ตั้งแต่เวลา 11.49 น. และจะเริ่มเปิดทำการจับคู่คำสั่งซื้อขายในเวลา 11.59 น. ซึ่งแนวโน้มดัชนียังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จนปิดตลาดในช่วงเช้า

ต่อมาภายหลังจากเปิดตลาดหุ้นในช่วงบ่าย ดัชนีก็ดิ่งเหวเพิ่มเป็น 19.50 % เฉียดมาตรการห้ามซื้อขาย เซอร์กิต เบรกเกอร์ ระดับ 2 และเกือบลบไปถึง 150 จุด แต่หลังจากนั้นก็มีแรงซื้อเข้ามาไล่มาจนดัชนีปิดที่ระดับ 622.14 จุด สูงสุด 721.85 จุด ต่ำสุด 587.92 จุด ลบไป 108.41 จุด หรือลดลง 14.84 % โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 72131.55 ล้านบาทซึ่งถือว่าเป็นวันที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุดของตลาดหุ้นไทย ในลักษณะที่เป็นแบบเดย์เทรด โดยที่ไม่ได้มีการซื้อขายแบบทำบิ๊กล็อตขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง อย่างในกรณีการซื้อขายหุ้น SHIN ของเทมาเซก ที่ทำให้มูลค่าการซื้อขายสูงถึง 94062 ล้านบาท

ถ้าถามว่าดัชนีจะปรับตัวลงต่อหรือไม่นั้น คงไม่มีใครสามารถฟันธงได้ จะรู้ก็แต่เพียงว่า ยอดเม็ดเงินสะสมของนักลงทุนต่างชาติที่ขนเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยติดต่อกันนานถึง 3 ปีที่ผ่านมานั้น มียอดเงินสะสมไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งแรงเทขายออกมาวานนี้(19 ธ.ค.)เพียง 2.8 หมื่นล้านบาท นั่นแสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติยังมีหุ้นที่จะรอทิ้งอีกไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท

...................

 กลับขึ้นบน
พ๊ง
สมาชิก

จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โพสต์: 410
#1 วันที่: 20/12/2006 @ 08:11:48 : re: "Circuit Breaker" ครั้งแรกประวัติศาสตร์ตลาดหุ้
ธปท.ยืนยันไม่รับผิดชอบ

ภายหลังจากที่ตลาดหุ้นได้ใช้มาตรการหยุดการซื้อขายชั่วคราว (Circuit Breaker)

ในระดับที่ 1 หลังจากที่ดัชนีได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงแล้ว นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ สายเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.กล่าวถึงผลกระทบของตลาดหุ้นที่ได้รับจากมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทว่า ในขณะนี้ยังสั้นเกินไปที่จะพิจารณาทบทวนหรือเห็นผลอย่างชัดเจนของการนำมาตรการกันสำรองเงินทุนนำเข้าระยะสั้นที่ 30% ของวงเงินที่นำมาแลกเปลี่ยนเงินตรากับสถาบันการเงิน

การที่ ดร.ธาริษา เพิ่งแถลงไปเมื่อเย็นวานก่อน และมาตรการดังกล่าวเพิ่งมีผลไปไม่นานนั้น และยังมีอีกหลายส่วนที่ไม่เข้าใจมาตรการดังกล่าวดีพอ จึงต้องมีการชี้แจงทำความเข้าใจเพิ่มเติม และทั้งนี้ยังไม่พบว่านักลงทุนต่างชาติที่นำเงินเข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้เทขายบาทเพื่อแลกดอลลาร์ออกไปจากประเทศเกิดขึ้นอย่างผิดปกติหลังจากประกาศมาตรการดังกล่าว

ด้าน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า ผลกระทบกับตลาดหลักทรัพย์ฯที่เกิดจากมาตรการของธปท. เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว โดยทางการจะประเมินผลกระทบทั้งหมดที่เกิดขึ้น

หลังจากตลาดหุ้นปิดทำการในวันนี้ เนื่องจากต้องการให้ผลที่เกิดจากการใช้มาตรการดังกล่าวได้แสดงออกมาให้เต็มที่ก่อน อย่างไรก็ดี ในภาพรวมแล้วเห็นว่าทั้งค่าเงินบาทและตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าเชื่อถืออยู่

ดัชนีที่ปรับลดลงกว่า 100 จุด ได้มีการประเมินผลที่จะเกิดขึ้นไว้อยู่แล้ว ส่วนจะมีมาตรการดูแลอะไรหรือไม่นั้น รอให้ตลาดฯ ปิดก่อนจึงจะประเมินอีกครั้ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร

กล่าว

การออกมาตรการของ ธปท.ก็เพื่อต้องการให้เงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งก่อนหน้านี้เงินที่ไหลเข้าประเทศส่วนมากจะไปอยู่ที่ตลาดหุ้น แต่ในเดือนธ.ค.เงินที่ไหลเข้าประเทศส่วนใหญ่ ไปอยู่ที่ตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อหวังเก็งกำไรจากค่าเงินบาท หากธปท.ไม่นำมาตรการสกัดกั้นเงินทุนระยะสั้นออกมาใช้ ก็จะยิ่งทำให้ต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรกับเงินบาทมากขึ้น

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระบุว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยยังไม่น่าเป็นห่วง แม้นักลงทุนต่างชาติจะเทขายหุ้นออกมา แต่ยังไม่มีการซื้อดอลลาร์เพื่อเอาเงินออกนอกประเทศ นอกจากนี้เชื่อว่ายังมีเงินลงทุนของผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ (non-resident) อีกกว่าแสนล้านบาทที่พร้อมกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นได้

ทั้งนี้ มีการประเมินเบื้องตนว่า การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับลดลงไปกว่า 100 จุด

ส่งผลให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 8.2 แสนล้านบาทแล้ว

ล้อมกรอบ 2  Circuit Breaker คืออะไร

Circuit Breaker เป็นคำสะแลง ที่หยิบยืมเอามาจากกระบวนการทำงานของเครื่องตัดกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะตัดไฟทิ้งทันทีที่มีกระแสไฟเกินระดับปกติ เพื่อป้องกันไฟไหม้บ้านหรืออาคารสถานที่ ในขณะที่ศัพท์ที่แท้จริงของคำนี้ มีอยู่หลายคำ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความหมายเดียวกัน คือ หมายถึงการหยุดพักการซื้อขายตลาดชั่วคราว เมื่อดัชนีราคาหุ้นร่วงลงเกินกว่าระดับปรับฐาน(หรือ market correction) โดยพิจารณาจากเหตุที่ทำให้หุ้นร่วงว่า เกิดจากสาเหตุปกติหรือไม่เป็นแกนสำคัญ

- Trading Curb คือ คำเรียกทางวิชาการที่แท้จริง หมายถึงจุดที่กำหนดเอาไว้ว่า เมื่อหุ้นร่วงมาถึงระดับ(คิดตามสัดส่วนร้อยละ)ของราคาปิดครั้งสุดท้ายเมื่อใด ให้ถือว่า จุดนั้นคือจังหวะที่ต้องระงับการซื้อขายของตลาดชั่วคราว

- Trading Collar หมายถึง มาตรการใดๆก็ตามที่ตลาดออกมา เพื่อป้องกันการกระหน่ำขายไม่ยั้งของนักลงทุนต่อหุ้นทั้งตลาด โดยไม่มีสาเหตุชัดเจนจากปัจจัยภายในของหุ้นแต่ละบริษัทเอง รวมถึงการระงับซื้อขายทั้งตลาดด้วย

ทั้งสองกรณีนี้ จะต้องเกิดขึ้นเมื่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นทั้งตลาด และดัชนีร่วงลงโดยไม่มีสาเหตุชัดเจนหรือผิดปกติของปัจจัยภายนอกเท่านั้น จะไม่สามารถนำมาใช้กับกรณีที่นักลงทุนพากันกระหน่ำเทขายหุ้นบลูชิพบางตัวเพื่อขาดความเชื่อมั่นต่อตัวผุ้บริหาร ต่อบริษัทหรือต่องบการเงินของบริษัท จนกระทั่งทำให้ดัชนีลดต่ำลงกว่าระดับที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งกรณีหลังนี้ เรียกว่าเป็นกรณีที่เรียกว่า การยอมจำนนของนักลงทุน หรือ Capitulation

คำนิยามของการยอมจำนนของนักลงทุน เกิดขึ้นเมื่อนักลงทุนต้องการทิ้งหุ้นบางตัวเพื่อเสื่อศรัทธาในปัจจัยภายในของบริษัท เพื่อหาการลงทุนใหม่ๆที่ปลอดภัยกว่า ถือเป็นการเคลื่อนย้ายเงินทุนตามปกติ แม้ว่าจะส่งผลต่อดัชนีให้ร่วงลงอย่างรุนแรงก็ตามที โดยปกติแล้วปรากฏการณ์เช่นนี้ จะกระทบต่อตลาดเพียงระยะสั้นๆเท่านั้น เพราะเมื่อนักลงทุนหายตระหนกแล้ว ก็จะกลับมาซื้อหุ้นตัวอื่นๆ เพื่อดันดัชนีหุ้นกลับไปใกล้เคียงกับจุดเดิม

นั่นก็หมายความว่า การที่ตลาดจะออกคำสั่งระงับการซื้อขายทั้งหมดชั่วคราวหรือ

Circuit Breakerได้ จะต้องมีเงื่อนไขที่ชัดเจน ไม่ใช่ใช้ได้ในกรณีหุ้นร่งแรงทุกกรณี แบบชนิดที่เป็นปรากฏการณ์ทั่วไป ดังที่มีศัพท์เรียกในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทว่า เป็นปรากฏ การณ์ วันสิ้นโลก หรือ end-of-the-day syndrome ซึ่งเกิดจากการตระหนกแบบกระต่ายตื่นตูมของนักลงทุนเอง อันเป็นธรรมชาติปกติของนักลงทุน

ตลาดที่ริเริ่มนำมาตรการCircuit Breaker มาใช้เป็นครั้งแรกในโลก ได้แก้ตลาดหุ้นนิวยอร์ก อันเป็นมาตรการที่เกิดขึ้นหลังจากกรณี Balck Monday 1987 ซึ่งสร้างความเสียหายมหาศาล มาตรการที่นำออกมาใช้ และเป็นมาตรฐานของโลกมาจนถึงปัจจุบันประกอบด้วยมาตรการ 2 แนวทางคือ

- Rule 80 A ใช้วิธีการคำนวณว่า ระดับของดัชนีที่จะเข้าเขตระงับการซื้อขายในแต่ละไตรมาส ควรอยู่ที่เท่าใด โดยมีคณะทำงานเป็นผู้กำหนด โดยระยะแรกใช้ดัชนีดาวโจนส์ เป็นฐานคำนวณ แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็นการใช้ดัชนีรวมของตลาดที่เรียกว่า NYA index เป็นฐานคำนวณแทน กฎนี้ได้รับชื่อเสียงว่าช่วยป้องกันความผันผวนของตลาดได้ดี และไม่ได้กำหนดเงื่อนไขว่าสาเหตุอะไรบ้างที่ควรใช้ และไม่ควรได้

เท่ากับเปิดกว้างให้ใช้ดุลยพินิจเต็มที่

- Rule 80 B ใช้เฉพาะในกรณีตลาดผันผวนอย่างไม่มีพื้นฐานรองรับเท่านั้น ห้ามใช้กับเงื่อนไขภายในของตัวหุ้นเอง โดยกำหนดไว้ที่ระดับการร่วงลงของดัชนีดาวโจนส์ 10 +10 +10 หรือ 20+10+10 เป็นสำคัญ โดยกำหนดเงื่อนไขและเวลาเอาไว้ชัดเจนว่า ในกรณีร่วงลงมามากกว่า 10% และกรณีร่วงมากกว่า 20% ให้หยุดตลาดระงับการซื้อขายได้ โดยเงื่อนไขสำคัญคือ หากตลาดหุ้นร่วงใกล้กับเวลาปิดทำการตลาด จะไม่มีการห้ามซื้อขายเด็ดขาด

มีข้อสังเกตว่า กฎข้อ 80 B นี้ แม้จะเข้มงวดเอาไว้ แต่ก็มีการละเมิดอย่างน้อยหนึ่งครั้ง คือ ในวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1997 เมื่อดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างหนัก 550 จุดหลัง 15.30 น. อันเป็นเวลาใกล้ปิดตลาด ตลาดก็สั่งระงับการซื้อขายไปจนปิดตลาดวันนั้นเลย ซึ่งเป็นกรณีไม่ปกติ แสดงให้เห็นว่า ที่สุดแล้ว เงื่อนไขที่ตั้งเอาไว้ บางครั้งก็ถูกยกเว้นได้เช่นกัน

เหตุผลที่ผู้บริหารของตลาดหุ้น นำมาใช้อ้างก็คือ เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับตลาด และปกป้องนักลงทุนรายย่อย อันเป็นเหตุผลสารพัดนึกปกติธรรมดา
 กลับขึ้นบน

 
 

Copy Right © 2009-2012 © Thaihoon.Com